วิเคราะห์สังคมไทยโดยใช้ทฤษฎีขัดแย้ง
ทฤษฎีขัดแย้ง
ทฤษฎีขัดแย้ง
มีสมมุติฐานสำคัญว่า สังคมมนุษย์เป็นสังคมที่มีการขัดแย้งระหว่างกลุ่มคนในสังคม
ส่วนกลุ่ม เรียกว่า กลุ่ม “มี” กับกลุ่ม “ไม่มี” กลุ่มมีเป็นกลุ่มเล็กแต่มีเงิน มีอำนาจหรือเกียรติยศสูงในสังคม จึงสามารถควบคุมหรือบีบบังคับ
บางครั้งเอารัดเอาเปรียบกลุ่มไม่มี
ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่แต่ไม่มีเงินหรืออำนาจมาต่อรอง สังคมมีระเบียบ
ยึดเหนี่ยวกันเป็นสังคมอยู่ได้ก็เพราะการควบคุมบีบบังคับเช่นนี้
หลักการต้นความคิดของทฤษฎีนี้มาจากปรัชญา เรื่องวิภาษวิธี (dialectic) ที่ตอนแรกใช้กับความคิดทั่วๆ ไปว่าความคิดใดเมื่อเริ่มต้นขึ้นแล้ว
ต่อมาก็จะมีความคิดใหม่เกิดขึ้นมาแย้ง
แล้วความคิดเดิมกับความคิดใหม่จะผสมผสานเข้าด้วยกัน กลายเป็นความคิดใหม่ขึ้นมาอีก
แล้วความคิดใหม่นี้จะถูกคัดค้านและผสมผสานกันเป็นความคิดใหม่ต่อไปเรื่อยๆ
ต่อมามีผู้นำเอาหลักการนี้มาใช้กับสังคมมนุษย์
โดยกล่าวว่าสังคมมนุษย์ก็มีการขัดแย้งกันระหว่างกลุ่มมีและไม่มีดังกล่าว
ตอนแรกสิ่งที่ “มี” นั้น ถือเอาวัตถุสิ่งของหรือทรัพย์สมบัติเป็นหลัก
ต่อมาก็ได้มีการปรับปรุงให้หมายถึงอำนาจ เกียรติยศชื่อเสียงและอภิสิทธิ์เข้าไปด้วย
ความหมายจึงกว้างขวางขึ้น
ในขณะที่ทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่นิยมมองสังคมในแง่ดี มีเสถียรภาพเสมอภาค
จะมีการเปลี่ยนแปลงก็เป็นแบบช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไป
ทฤษฎีขัดแย้งออกจะมองสังคมในแง่ร้าย แม้จะมีความเป็นระเบียบอยู่ได้
แต่อยู่ด้วยความไม่เสมอภาค มีการกดขี่ มีการบีบบังคับกันอยู่
การเปลี่ยนแปลงที่ทฤษฎีวาดภาพไว้จะต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง หักโค่น
เพราะเป็นการต่อสู้ระหว่างคนมีกับคนไม่มี
คนที่มีเงินมีอำนาจกับคนที่ไม่มีทั้งเงินและอำนาจแต่มีจำนวนคนมากกว่า
ประพจน์สำคัญจากทฤษฎีนี้อาจสร้างได้ดังนี้
1.
ความเป็นระเบียบในสังคมมนุษย์
ขึ้นอยู่กับการกดขี่ของคนกลุ่มหนึ่งเหนือคนอีกกลุ่มหนึ่ง
2.
ชนชั้นในสังคมชนชั้นต่างๆ
เกิดจากการแบ่งปันทรัพย์สิน อำนาจ หรือเกียรติยศ อภิสิทธิ์อย่างไม่เท่าเทียมกัน
3.
การเปลี่ยนแปลงทางสังคม
เกิดจากการขัดแย้งภายในสังคม
4.
การเปลี่ยนแปลงทางสังคม
จะเกิดผลอย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคม
5.
ปัญหาสังคมเกิดจากการแบ่งปันของหายาก
และมีอยู่จำกัดในสังคม
6.
นักการเมือง ข้าราชการพลเรือน ทหาร
กฎหมาย ศาสนาในสังคม เป็นเครื่องมือของกลุ่ม “มี” ทั้งสิ้น
7.
การขัดแย้งในสังคมบางกรณี
ช่วยทำให้เกิดความมั่นคงในกลุ่มขึ้นได้
ความคิดพื้นฐานทางปรัชญา
Dialectic วิภาษวิธี สิ่งใด ๆ
ประกอบด้วยสามส่วน Thesis-antithesis synthesis ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสิ่งนั้นๆ
อยู่เสมอ
Structuralism โครงสร้างนิยม สิ่งใดๆ
ประกอบขึ้นด้วยส่วนต่างๆ แต่ละส่วนมีอิทธิพลต่อกัน เช่น
การเปลี่ยนแปลงในส่วนหนึ่งย่อมก่อผลกระทบไปยังอีกส่วนหนึ่ง
Realism สัจนิยม
สิ่งสากลมีอยู่จริง
Materialism วัตถุนิยม
วัดค่าสิ่งใดด้วยวัตถุหรือเงิน
สาระสำคัญ
1.
ทุกหน่วยของสังคมอาจเปลี่ยนแปลงได้
2.
ทุกหน่วยของสังคมเป็นบ่อเกิดของการขัดแย้ง
3.
ทุกหน่วยของสังคมมีส่วนส่งเสริมความไม่เป็นปึกแผ่นและการเปลี่ยนแปลง
4.
ทุกสังคมจะมีคนกลุ่มหนึ่งควบคุมบังคับคนอีกกลุ่มหนึ่งให้เกิดความเป็นระเบียบในสังคม
นักทฤษฎีสำคัญ
จอร์จ เฮเกล (George Hegel)
คาร์ล มากซ์ (Karl Mark)
เอฟ. เอ็นเจลส์ (F. Engels)
ราฟ ดาห์เรนดอฟ (Ralf Dahrendor)
เดวิด ล๊อควูด (David Lockwood)
ทฤษฎีการขัดแย้งเป็นทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม
ทฤษฎีการขัดแย้งเป็นทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมที่มีอิทธิพลมากใน
ปัจจุบันหลักการสำคัญของกลุ่มนี้เน้นว่า
ตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงก็คือความขัดแย้งและความขัดแย้งทำให้เกิดความเจริญก้าวหน้าไปสู่ภาวะที่ดีขึ้น
ถ้าสังคมไม่มีความขัดแย้งเลยการเปลี่ยนแปลงอาจไม่เกิดขึ้น
ความขัดแย้งนั้นมิได้มีอยู่เฉพาะทางสังคมเท่านั้นแต่เป็นปรากฏการณ์ทั่ว ๆ
ไป แม้แต่ในตัวของคนเราเองก็มีความขัดแย้ง เช่น ในทางความคิด
ความประพฤติปฏิบัติต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ความขัดแย้ง
ในตัวคนเราก็ทำให้มีการปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น
นักปรัชญาและนักสังคมศาสตร์ในกลุ่มนี้มีด้วยกันหลายคน คาร์ล ไฮริช มาร์กซ์
(C.H.Marx)
นับว่าเป็นบุคคลสำคัญที่ได้มีส่วนในการพัฒนาทฤษฎีการขัดแย้งให้มีอำนาจในการอธิบายมากขึ้น
มาร์กซ์ ถือว่าสิ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงคือ
ความขัดแย้งที่เกิดมาจากกระบวนการผลิต (Mode of Production) เขาอธิบายว่าจากประวัติศาสตร์มนุษย์เป็นผู้เปลี่ยนแปลงสังคมในกระบวนการที่มนุษย์เปลี่ยนแปลงสภาพชีวิตของตนเองก็เพื่อเอาชนะธรรมชาติ
ทั้งนี้ก็ด้วยเหตุผลที่ว่าในขณะที่สัตว์ประเภทอื่นดำรงชีวิตอยู่ด้วยการปรับตัวเองให้เข้ากับสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติมนุษย์เป็นสัตว์ประเภทเดียวที่สามารถเปลี่ยนแปลงธรรมชาติเพื่อประโยชน์ของมนุษย์เองโดยการผลิดปัจจัยต่าง
ๆ เพื่อสนองความต้องการของตนเอง มาร์กซ์อธิบายว่าในสังคมจะมีคนอยู่ด้วย 2 ชั้น คือ ผู้ผลิตซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ไม่มีทรัพย์สินและขายแรงงานกับผู้เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตซึ่งมีอำนาจและควบคุมระบบการผลิตเอาไว้
มาร์กซ์
เน้นว่าการขัดแย้งกันอย่างรุนแรงระหว่างชนสองชั้นนี้เป็นเรื่องของผลประโยชน์ที่ไม่มีทางจะหลีกเลี่ยงได้
การต่อสู้ระหว่างทาสกับนาย ลูกจ้างกับเจ้าครองแคว้น
กรรมาชนกับนายทุนเป็นหลักฐานทางประวัติศาตร์ที่แสดงให้เห็นการขัดแย้งที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมอย่างเด่นชัด
ความจริงมาร์กซ์ไม่ได้เป็นคนริเริ่มทฤษฎีขัดแย้งนี้โดยตรงแต่เขาได้นำเอาระบบ
(System) การขัดแย้งตามความคิดของคานต์ (Emanuel Kant)
ซึ่งอธิบายในระดับบุคคล และของเฮเกล (Hegel) ซึ่งอธิบายในระดับกลุ่มคนมาผสมผสานกับแนวความคิดวัตถุนิยม
(Materialism) ของฟอยเออร์บาค (Feurbach) กลายเป็นวิภาษวิธีแห่งการเปลี่ยนแปลงโดยมีเศรษฐกิจเป็นตัวกำหนด (Economic
determination) ซึ่งเขียนเป็นหลักเกณฑ์ดังนี้
ข้อสรุป
ข้อเสนอ (Thesis) ข้อแย้ง (Antithesis)
ดาเรนดอร์ฟ (Ralf Dahredorf) นักสังคมวิทยาเยอรมันรุ่นต่อมาได้โต้แย้งมาร์กซ์ในข้อที่ว่าปัจจัยรากฐานของการขัดแย้งนั้นอยู่ที่อำนาจชนชั้นมิใช่อยู่ที่เศรษฐกิจ
ความขัดแย้งเป็นสาระของระบบสังคมและมีอยู่เสมอ
ฉะนั้นเมื่อใดที่เกิดกลุ่มสังคมกลุ่มนี้จะมีลักษณะของการจัดอำนาจระหว่างหัวหน้าและลูกน้องหรือกล่าวได้ว่า
ภายในกลุ่มจะมีผู้มีอิทธิพล และผู้ที่ถูกอิทธิพล
ตามปกติคนในกลุ่มยังมิได้ตระหนักในความแตกต่างของอำนาจก็จะไม่มีการขัดแย้ง แต่ถ้าเมื่อใดเกิดความตระหนักว่ามีอิทธิพลและมีการบีบบังคับเกิดขึ้นก็จะเป็นจุดเริ่มของการขัดแย้งระหว่างชนชั้นที่มีอำนาจและไม่มีอำนาจ
เมื่อมีการขัดแย้งระหว่างชนชั้นผลของการขัดแย้งจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
1.
การขัดแย้งในพื้นฐาน
ความขัดแย้งในระดับพื้นฐานนี้จะเพิ่มขึ้นหรือลดลงก็ขึ้นอยู่กับระดับความแตกต่างระหว่างชนชั้นว่าชัดแจ้งเพียงใด
ถ้ามีมากอัตราความขัดแย้งจะสูง แต่ปริมาณกลุ่มย่อยถ้ามีมากจะลดความขัดแย้งลง
หรือโอกาสในการเปลี่ยนแปลงสถานภาพ
ถ้าโอกาสของการเลื่อนสถานภาพสูงขึ้นได้อัตราการขัดแย้งจะลดลงเช่นเดียวกัน ในขณะเดียวกัน
ถ้าหากเพิ่มอัตราการขัดแย้งก็จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่กว้างขวางลึกซึ้งในโครงสร้าง
ซึ่งหมายถึงว่าโครงสร้างสังคมเก่าจะต้องเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย อาทิเช่น
กรณีเดือนตุลาคม ปี 2516
หรือเดือนตุลาคม ปี 2519 เป็นต้น
2. การขัดแย้งขั้นรุนแรง (Violence conflict)
อัตราการขัดแย้งชนิดนี้จะมากน้อยย่อมแล้วแต่ปริมาณของกลุ่มย่อยที่จะสามารถรวมตัวกันได้เพียงใดถ้ารวมตัวกันได้ก็จะรุนแรงมากขึ้น
และถ้ามีการปรับแก้ระบบของรางวัลและการลงโทษไปในทางคล้อยตามก็ย่อมจะลดอัตราการขัดแย้งลง
และควบคุมการขัดแย้งนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตามการขัดแย้งนี้ถ้ารุนแรงไม่สามารถควบคุมได้จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน
ซึ่งอาจมีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตัวบุคคลผู้ปกครองได้
ลักษณะการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมไทย
ในการศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมไทยนี้จะพิจารณาจากตัวแปร
4
ประการด้วยกันคือ การเปลี่ยนแปลงของขนาดกลุ่มคน โครงสร้างของสังคม
ค่านิยมทางวัฒนธรรมและพฤติกรรมของสมาชิกสังคม
1. การเปลี่ยนแปลงของขนาดกลุ่มคน
ในระยะแรกที่คนไทยอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนอันเป็นประเทศไทยปัจจุบัน
ได้มีการรวมกลุ่มกันเพื่อช่วยตัวเอง และอยู่กันเหมือนครอบครัวใหญ่
หลักสำคัญในการรวมกลุ่มกันคือ ระบบครอบครัวกและเครือญาติ กล่าวคือ
การอยู่ร่วมกันของคนไทยในระยะแรก ๆ
นี้ถือเหตุผลแห่งความเป็นเครือญาติเป็นพื้นฐานสำคัญของการอยู่ร่วมกัน
ต่อจากนั้นก็ขยายระบบเครือญาติออกมาใช้เป็นรูปแบบของการปกครองกันหัวหน้ากลุ่มเรียกว่าพ่อบ้าน
ลูกกลุ่มเรียกว่าลูกบ้าน ในระยะแรก ๆ
ความสำคัญของไพร่พลเป็นปัจจัยที่สำคัญของการปกครอง
ฉะนั้นจะเห็นว่าดินแดนที่เป็นประเทศไทยนี้มีการแบ่งแยกกลุ่มคนออกเป็นหลายกลุ่มหรือหลายอาณาจักร
บางกลุ่มก็ไม่ยอมขึ้นกับใคร บ้างก็ยอมอยู่ใต้อำนาจของเจ้าถิ่นเดิมซึ่งเป็นชนชาติอื่น
แต่ในที่สุดกลุ่มคนไทยอิสระที่สุโขทัยก็สามารถแผ่อาณาเขตได้กว้างขวางครอบครองกลุ่มอื่นได้มากมาย
ประมาณ พ.ศ. 1800 ตั้งแต่นี้เป็นต้นมาแม้ว่าจะได้มีการเปลี่ยนแปลงศูนย์การปกครองมาเป็นกรุงศรีอยุธยา
ธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ก็ตาม ถือว่าเป็นการวิวัฒนาการของสังคมไทยโดยสิ้นเชิง
เมื่อพิจารณาถึงจำนวนประชากรของกลุ่มต่าง
ๆ ตั้งแต่เริ่มตั้งถิ่นฐานนั้นมีจำนวนไม่มากนัก
อย่างไรก็ตามจำนวนประชากรของไทยนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 1743 จนถึงปี พ.ศ. 2453 มีประชากรไม่เกิน
8 ล้านคน ต่อมาในปี พ.ศ. 2503 ประเทศไทยได้จัดให้มีการทำสำมะโนประชากรเพื่อดูจำนวนการเพิ่มขึ้นที่แน่นอนและลักษณะการกระจายตัวก็พบว่าประเทศไทยมีประชากรถึง
26 ล้านคนเศษ
ต่อมาในปี พ.ศ. 2513 ได้มีการสำรวจสำมะโนอีกพบว่าประชากรเพิ่มขึ้นเป็น
36 ล้านคนเศษ ในรอบ 10 ปี 2503 ถึงปี 2513 นี้พบว่าอัตราการเพิ่มประชากรเพิ่มในอัตราร้อยละ
30 ต่อปี
ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นมีอัตราเพิ่มเป็นอันดับ 3 ของโลก
และคาดว่าจำนวนประชากรของไทยจะเพิ่มเป็น 1 เท่าตัวในอีก 23
ปีข้างหน้าถ้าอัตราการเพิ่มยังคงอยู่ในระดับเช่นนี้
การเพิ่มจำนวนประชากรของไทยมีลักษณะเช่นเดียวกันกับประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย
คือมีอัตราการเกิดสูงแต่อัตราการตายลดลงอย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้เพราะความก้าวหน้าทางการแพทย์ การ
สาธารณสุข
และการรวมตัวของชุมชนต่าง ๆ กลายเป็นเมือง ประชากรมีอายุยืนขึ้น
ลักษณะการเพิ่มประชากรในอัตราสูงขึ้นนี้ย่อมมีผลต่ออัตราส่วนของผู้ถูกเลี้ยงดูสูง
กล่าวคืออัตราส่วนเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี มีถึงร้อยละ 43
ในขณะที่ประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐ มีเพียงร้อยละ 30 ฝรั่งเศสร้อยละ 25 ญี่ปุ่นร้อยละ 25 เท่านั้น
อัตราการเพิ่มประชากรสูงเช่นนี้ย่อมเป็นอุปสรรคในการพัฒนาประเทศใดส่วนรวมเป็นอย่างมากดังนั้น
ในปี พ.ศ. 2514 รัฐบาลจึงประกาศใช้นโยบายประชากรเพื่อให้อัตราการเพิ่มประชากรอยู่ในภาวะที่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมมีทางเป็นไปได้
การเพิ่มประชากรอย่างรวดเร็วในยุคใหม่นี้ไม่ใช่เป็นการเพิ่มเฉพาะจำนวนหรือเพิ่มเฉพาะปริมาณเท่านั้น
หากได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในด้านคุณภาพด้วย หมายความว่า
ประชากรที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นนี้มิใช่เพิ่มแต่จำนวน
แต่ได้เพิ่มความคาดหวังขึ้นมาด้วยในส่วนต่าง ๆ
ของภูมิภาคคือคนไทยต้องการชีวิตที่อยู่ดีกินดีมากยิ่งขึ้นต้องการสวัสดิการความช่วยเหลือจากรัฐบาลยิ่งขึ้น
คนสมัยก่อนไม่เคยเรียกร้องอะไร เดี๋ยวนี้เรียกร้องมากขึ้น ตัวอย่างเช่น
แต่ก่อนชาวนาไทยไม่เคยมาเดินขบวนร้องเรียนผู้ว่าฯ หรือคนใช้แรงงาน
กรรมกรไม่เคยมาเดินขบวนเรียกร้องขอขึ้นค่าแรง
เดี๋ยวนี้เราไม่ใช้อำนาจในการกดเขาไว้ เปิดโอกาสให้เขาไว้
เปิดโอกาสให้เขาได้แสดงออกซึ่งความต้องการหรือระดับความคาดหวังที่สูงขึ้นมา
2.
การเปลี่ยนแปลงในด้านโครงสร้างของสังคม
การเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้างของสังคมไทยนี้จะพิจารณาสังคมไทยในฐานะที่เป็นระบบของความสัมพันธ์ของบุคคลและกลุ่มคนอยู่ในอาณาบริเวณ
ที่มีสัญลักษณ์ และวิธีการดำเนิน
ชีวิตในอันที่ก่อให้เกิดเอกลักษณ์ของไทย
ถ้าพิจารณาสังคมไทยในปัจจุบันนี้ก็จะเห็นได้ว่าสภาพการเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้างอยู่ในระหว่างการเปลี่ยนแปลงไปในที่สุดซึ่งคาดว่าอาจเปลี่ยนไปสู่การประนีประนอมหรือการขัดแย้งก็ได้
โดยที่สังคมไทยกำลังอยู่ในระหว่างการเปลี่ยนผ่านจึงเห็นได้ว่าระบบครอบครัวและเครือญาติของไทยในส่วนที่ใช้ถ้อยคำเรียกญาติพี่น้องตามประเภทและระดับอายุต่าง
ๆ ยังคงเหมือนกับคนไทยสมัยก่อนรูปแบบของครอบครัวยังไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
แต่ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัว พ่อ แม่ ลูก สามีกับภรรยา ฯลฯ
ก็มีเปลี่ยนแปลงไปตามความจำเป็นทางเศรษฐกิจ และภาระหน้าที่สังคมของแต่ละบุคคลในสภาพชีวิตสมัยใหม่ทั่วในเมือง
และชนบทไม่เป็นไปเช่นสมัยก่อน
กฎหมายลักษณะผัวเมียปัจจุบันอนุญาตให้ชายไทยมีภรรยาจดทะเบียนได้ถูกต้องตามกฎหมายได้เพียงคนเดียวซึ่งแต่เดิมกฎหมายตราสามดวงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นให้ชายมีภรรยาได้พร้อม
ๆ กันหลายคนและหลายประเภท
พิธีแต่งงานของคนไทยปัจจุบันก็ไม่เป็นไปตามธรรมเนียมของคนไทยสมัยก่อนเสมอไป เช่น
ประเพณีคลุมถุงชนที่ฝ่ายหญิงและฝ่ายชายไม่รู้จักกัน
หรือบางทีไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อนเลย ไม่เคยเรียนรู้นิสัยใจคอซึ่งกันและกัน
แต่พ่อแม่เห็นดีเห็นงามให้แต่งงานกันได้ลดลงไปถึงแม้ว่าภาษาและอักษรไทยจะยังไม่เปลี่ยนแปลงไปจนจำไม่ได้การเรียนรู้การเขียนซึ่งในสมัยก่อนเว้นอภิสิทธิ์เฉพาะเด็กผู้ชาย
และมีแพร่หลายเฉพาะในรั้วในวังและมีครูสอนเป็นพระส่วนใหญ่
มาสมัยนี้ทั้งเด็กผู้ชายและเด็กหญิงต้องเข้ารับการศึกษาภาคบังคับตามกฎหมายอย่างเสมอหน้ากันและครูผู้สอนก็ไม่ได้บวชเรียนเป็นพระ
ความสัมพันธ์ระหว่างผู้น้อยกับผู้ใหญ่แต่เดิมมีลักษณะที่เรียกว่า “ระบบอุปถัมภ์” ในปัจจุบันก็ยังคงมีอยู่แต่ได้เปลี่ยนรูปไปในลักษณะแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันอย่างเห็นได้ชัด
โครงสร้างของสังคมนั้นจะสอดคล้องกับระบบเศรษฐกิจและการปกครองของแต่ละยุคและโครงสร้างของสังคมย่อมเปลี่ยนแปลงไป
ถ้าระบบเศรษฐกิจและการปกครองเปลี่ยนแปลงไประบบเศรษฐกิจของไทยแต่เดิมมาเป็นการผลิตพอยังชีพเท่านั้น
ภายหลังสนธิสัญญาเบาริงไปแล้วระบบเศรษฐกิจได้เริ่มเปลี่ยนแปลงไปเป็นการผลิตเพื่อการตลาดมากขึ้น
การเน้นการซื้อขายผลผลิตในปัจจุบันบทบาทของพ่อค้าคนกลางของระบบการตลาดทั้งภายในและภายนอกประเทศย่อมมีความหมาย
มีความสำคัญขึ้นทุกระดับ
นอกจากนี้ระบบเศรษฐกิจมีความต้องการเงินหมุนเวียนมากขึ้นในกระบวนการผลิตและการจำหน่ายบุคคลประเภทนายทุนนักการเงิน
การธนาคาร ผู้ประกอบการก็ต้องการผลตอบแทน
เงินทุนเหล่านี้ย่อมกระทบกระเทือนผลประโยชน์ของฝ่านแรงงานและผู้บริโภคนำไปสู่การขัดแย้งขึ้นได้
ในปัจจุบันในกระบวนการผลิตของระบบเศรษฐกิจปัจจุบันในภาคเกษตรและอุตสาหกรรมมีการจ้างงานลูกจ้างในไร่นาและกรรมกรในโรงงานซึ่งถือเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญด้วย
บุคคลเหล่านี้ไม่เคยมีอยู่ในโครงสร้างสังคมและระบบเศรษฐกิจแบบประเพณีเดิม
บทบาทของแรงงานจะมีมากน้อยตามผลงานในระบบการผลิต
ทำให้ต่อรองค่าตอบแทนจากฝ่ายเจ้าของทุนและกิจการได้
ถ้าคนจำนวนมากในสังคมเป็นแรงงานเช่นนี้ก็จะรวมกันเป็นกลุ่มหรือชนชั้นใหม่มีพลังต่อรองกับกลุ่มผลประโยชน์อื่น
ๆ ได้อย่างไม่เคยปรากฎในโครงสร้างดั้งเดิมแต่อย่างใด
ในระบบเศรษฐกิจปัจจุบันซึ่งมีอาชีพมากมายหลายประเภทให้บุคคลเลือกประกอบได้ตามความถนัดตามความสนใจกและโอกาสแต่ความรู้ความถนัดที่จะประกอบอาชีพนี้อาจไม่ได้ถ่ายทอดจากครอบครัวเหมือนในสมัยก่อนจึงจำเป็นต้องมีการฝึกอบรมวิชาชีพในสถาบันการศึกษาหรือสถาบันฝึกฝีมือแรงงาน
ช่วงเวลาของการศึกษาอบรมจะมากหรือน้อยย่อมขึ้นอยู่กับลักษณะของแต่ละวิชาชีพ
บุคคลที่อยู่ในบทบาทของนักศึกษาเป็นระยะเวลานาน ๆ
นี้ย่อมมีโอกาสได้รับความรู้ความคิดทั้งที่เป็นวิชาการและนอกเหนือไปจากนั้นและเป็นความรู้ความคิดของคนหนุ่มสาวที่อาจแตกต่างไปจากความคิดของคนรุ่นเก่า
ทำให้กลุ่มนักเรียนนักศึกษากลายเป็นกลุ่มสังคมใหม่ซึ่งมีบทบาทของตนเอง
บางครั้งร่วมมือขัดขวางกลุ่มผลประโยชน์อื่น ๆ
ที่ตนเห็นว่าเอารัดเอาเปรียบคนกลุ่มอื่นมากเกินไป ซึ่งบทบาทของกลุ่มคนเช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อนเลย
กลุ่มข้าราชการยังคงเป็นกลุ่มที่ทำหน้าที่บริหารปกครองสืบเนื่องจากกลุ่มทำนองเดียวกันของสังคมสมัยก่อน
แต่อุดมคติของข้าราชการสมัยใหม่ไม่นิยมให้ข้าราชการคุมอำนาจทางเศรษฐกิจของสังคมเหมือนคตินิยมสมัยก่อนและมีกลุ่มบุคคลประเภทหใหม่คือผู้แทนราษฎร
นักการเมืองเพิ่มขึ้นมาเป็นกลไกใหม่ของระบบบริหารการปกครอง
ข้าราชการที่ผูกพันอยู่กับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างแต่ก่อนไม่สามารถมีบทบาทได้ตามอุดมคติใหม่ย่อมต้องใช้อำนาจเกินหรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่หาประโยชน์เองหรือร่วมมือร่วมผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจกับกลุ่มพ่อค้าและนายทุนให้เกิดปัญหาความขัดแย้งในบทบาทหน้าที่
ปทัสถาน
และจริยธรรมของสังคมมีผลสะท้อนต่อความมั่นคงและการพัฒนาบ้านเมืองได้อย่างมาก
ลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างข้าราชการ ประชาชน
และพ่อค้านายทุนในแบบที่ตกค้างจากโครงสร้างเดิมกลายเป็นปัญหาขัดกับอุดมคติของการปกครองในโครงสร้างของสังคมใหม่ที่คนส่วนใหญ่คาดหวัง
ในส่วนที่เกี่ยวกับทางการเมืองและการปกครองนั้นแต่เดิมมาไทยเรามีระบบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
โดยถือว่าพระมหากษัตริย์เป็นสมมุติเทพ แต่หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี พ.ศ. 2475ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสถาบันการเมืองและการปกครองอย่างมาก
บทบาทของพระมหากษัตริย์ในฐานะสมมุติเทพหรือเจ้าชีวิตได้ยุติลง
ได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นพระมหากษัตริย์ของปวงชน
องค์พระมหากษัตริย์ทรงมีความใกล้ชิดกับประชาชนมากขึ้น
บทบาทที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลานั้นนับว่ามีอิทธิพลต่อการบริหารราชการแผ่นดินอย่างมากซึ่งไม่เคยปรากฎมาก่อนเลยในโครงสร้างของสังคมไทย
3. การเปลี่ยนแปลงในด้านวัฒนธรรมและพฤติกรรม
การเปลี่ยนแปลงในด้านวัฒนธรรมนี้หมายถึง ค่านิยมทางวัฒนธรรม (Cultural
value) อันได้แก่แนวคิด แนวทางปฏิบัติต่าง ๆ
ที่คนในแต่ละวัฒนธรรมมีความนิยมชมชอบเลือกหรือยึดถือเอามาเป็นเครื่องกำหนดพฤติกรรมต่าง
ๆ ของตน ตัวอย่างเช่น ค่านิยมเกี่ยวกับความดี ความชั่ว ค่านิยมเกี่ยวกับความสวยงาม
ศิลปะการบันเทิง ค่านิยมเกี่ยวกับความทุกข์ ความสุขของคน
ค่านิยมเกี่ยวกับตนและคนอื่น ค่านิยมเกี่ยวกับการเกิด การตาย ความสัมพันธ์ระหว่างการเกิดกับการตาย
ฯลฯ
การเปลี่ยนแปลงในด้านค่านิยมทางวัฒนธรรมและพฤติกรรมในสังคมไทยนี้เราจะพบว่าในสมัยก่อนที่เรายังไม่ได้ติดต่อกับสังคมอื่น
หรือมีการติดต่อแต่น้อยมากนั้นค่านิยมทางวัฒนธรรม
และพฤติกรรมของคนไทยจะเปลี่ยนแปลงไปน้อยมากหรือเกือบจะไม่เปลี่ยนแปลงเลย
ตัวอย่างเช่น ก่อนสมัยกรุงรัตนโกสินทร์คนไทยทั่ว ๆ
ไปยังมีค่านิยมทางวัฒนธรรมเรื่องความรักสนุกอย่างเด่นชัด ดังนั้น
พฤติกรรมที่สอดคล้องกับค่านิยมรักสนุกจะไม่ค่อยขยันขันแข็งไม่ค่อยอดทนไม่ค่อยรีบเร่ง
แต่มาปัจจุบันนี้ ค่านิยมด้านรักสนุกได้ลดน้อยลงไปโดยเฉพาะในสังคมเมืองใหญ่ ๆ
จะเป็นที่แลกเปลี่ยนทางด้านค่านิยมทางวัฒนธรรมกับต่างชาติ
ประกอบกับการดำรงชีวิตที่ต้องแข่งขันทำให้คนไทยยอมรับเอาวัฒนธรรมต่างชาติเข้าไว้อย่างมาก
คนไทยในเมืองใหญ่ ๆ จะขยันขันแข็งมีความรีบเร่งขึ้น
อดทน อดออมมากขึ้นกว่าในชนบท
หรืออีกตัวอย่างหนึ่งของค่านิยมเรื่องความรักสนุก ก็คือ การบริโภคสิ่งของต่าง ๆ
ของคนไทยที่ฟุ่มเฟือย เน้นความมีหน้ามีตา ความสะดวกสบาย ต่าง ๆ
ซึ่งสมัยก่อนพฤติกรรมของคนไทยสอดคล้องกับค่านิยมทางวัฒนธรรมอันนี้อยู่มาก เช่น
การจัดงานบุญ
งานกุศล งานขึ้นบ้านใหม่
งานแต่งงาน จะจัดงานกันอย่างฟุ่มเฟือยแบบตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ
แต่ในปัจจุบันนี้ได้ลดลงไปมากอย่างสังเกตได้
เพราะค่านิยมทางวัฒนธรรมตะวันตกในเรื่องของความประหยัดอดออมที่สังคมไทยรับเอาเข้ามาใหม่
วัฒนธรรมซึ่งเราแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
วัฒนธรรมที่เป็นวัตถุเช่น บ้าน โต๊ะ เก้าอี้ ฯลฯ และวัฒนธรรมที่ไม่ใช่วัตถุ เช่น
ค่านิยมนี้ถ้าพิจารณาให้ดีจะพบว่าวัฒนธรรมที่เป็นวัตถุดังกล่าวเป็นผลมาจากวัฒนธรรมนี้ไม่ใช่วัตถุทั้งสิ้น
ทั้งนี้เพราะว่าวัฒนธรรมที่ไม่ใช้วัตถุเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของคนและวัฒนธรรมทางวัตถุต่าง
ๆ ก็เป็นผลมาจากพฤติกรรมของคนเราทั้งสิ้น เช่น
บ้านเป็นผลมาจากพฤติกรรมการอยู่อาศัย โต๊ะ เก้าอี้
เป็นผลมาจากพฤติกรรมการนั่ง ดินสอ
ปากกาเป็นผลมาจากพฤติกรรมการเขียนด้วยเหตุนี้วัฒนธรรมประเภทไม่ใช่วัตถุ เช่น
ค่านิยมทางวัฒนธรรมจึงมีความสำคัญสูงสุดที่จะกำหนดพฤติกรรมต่าง ๆ
ของสมาชิกสังคมนั้น ๆ
ดังได้กล่าวไว้ตั้งแต่ในตอนต้นแล้วว่า
เมื่อเราพูดถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมเราจะมุ่งพิจารณาในระดับพฤติกรรมของคน
และถ้าเราพูดถึงการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมจะพิจารณาในระดับปทัสถานอันเกิดมาจากค่านิยมทางวัฒนธรรมนั่นเอง
ดังนั้น เมื่อเราพูดถึงการเปลี่ยนแปลงในด้านค่านิยมทางวัฒนธรรมและพฤติกรรมในสังคมไทยจึงไปด้วยกันเสมอ
ในการศึกษาถึงการเปลี่ยนแปลงในด้านค่านิยมทางวัฒนธรรมและพฤติกรรมในสังคมไทยนี้
สนิทสมัครการ
ได้เสนอไว้ในรายการวิจัย
โดยชี้ให้เห็นถึงค่านิยมดั้งเดิมของไทย
และค่านิยมต่างชาติทั้งแพร่กระจายเข้ามาในสังคมไทย มีผลทำให้ค่านิยมทางวัฒนธรรมและพฤติกรรมของสังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปดังนี้
1.
การเปลี่ยนแปลงในค่านิยมดั้งเดิมของไทย
1.1
สาเหตุแห่งความเปลี่ยนแปลงในค่านิยมเด่น
ๆ ของไทยสืบเนื่องมาจากการติดต่อกับวัฒนธรรมอื่นเป็นส่วนใหญ่
การติดต่อกับวัฒนธรรมอื่น ๆ พอจะแบ่งออกเป็น 2 กรณีด้วยกันคือ การติดต่อกับวัฒนธรรมตะวันตก และการติดต่อกับวัฒนธรรมจีน ซึ่งจะได้พิจารณาในรายละเอียดต่อไปนี้
-
โดยทางฝ่ายตัวแทนรัฐบาลและนักการค้าเดินทางของเรือฝ่ายตะวันตกที่เดินทางมาติดต่อเอง
-
โดยการส่งผู้คนของเราออกไปศึกษาเล่าเรียนในประเทศตะวันตกกลับเข้ามาพร้อมด้วยค่านิยมที่
เปลี่ยนไป
-
โดยสื่อมวลชน สื่อบันเทิงต่าง ๆ อาทิ หนังสือพิมพ์ วิทยุ
ภาพยนตร์ โทรทัศน์ เป็นต้น
ในบรรดาสื่ออำนวยความเปลี่ยนแปลงทั้งสามารถประการข้างต้น ปรากฎว่า สื่อในข้อ ข. และ ค. สามารถนำความเปลี่ยนแปลงในค่านิยมต่าง ๆ
ได้มากกว่าสื่อในข้อ ก. ซึ่งมีอิทธิพลต่อความเปลี่ยนแปลงในค่านิยมของไทยอยู่บ้างก็แต่ในระยะต้น
ๆ ของการติดต่อ
และจะมีต่อเฉพาะกลุ่มผู้มีอำนาจหรืออิทธิพลในทางการค้าเท่านั้น
แต่อิทธิพลสื่อความเปลี่ยนแปลงในข้อ
ข.
และ ค. มีอยู่สูงมาก แม้ข้อ ข. จะมีบทบาทและอิทธิพลต่อความเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมืองการปกครองกับการศึกษาของประเทศเป็นส่วนใหญ่
และข้อ ค. จะมีบทบาทและอิทธิพลค่านิยมทางด้านความเป็นอยู่ของประชาชนทั่วไป
แต่เมื่อรวมกันเข้าแล้วก็นับว่าได้ทำให้ปทัสถานเดิมของสังคมสั่นคลอนลงไปเป็นอันมาก และเป็นตัวการสำคัญที่ส่งเสริมให้มีพฤติกรรม “นอกรีต” เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ส่วนการติดต่อกับวัฒนธรรมจีนนั้นส่วนใหญ่เป็นการติดต่อเผยแพร่โดยคนจีนที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานและทำมาหากินอยู่ในประเทศไทย
สิ่งที่คนจีนนำติดตัวเข้ามาเผยแพร่ต่อคนไทยในสังคมไทยที่นับว่าสำคัญมากก็คือ
วัฒนธรรมทางด้านเศรษฐกิจ
โดยเฉพาะค่านิยมเรื่องการทำงานหนัก
การรู้จักเก็บออมและรู้จักแสวงหาผลประโยชน์จากบุคคลอื่นเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของตนเองซึ่งเราจะได้พิจารณาโดยละเอียดต่อไป
1.2
ความขัดแย้งระหว่างค่านิยมตั้งเดิมกับค่านิยมใหม่
หากว่าค่านิยมใหม่ที่นำเข้ามาในสังคมเป็นค่านิยมที่คล้ายคลึงกับค่านิยมเดิมหรือแตกต่างกันไม่มากนัก
ความแตกต่างระหว่างค่านิยมจะไม่สร้างปัญหาในระดับพฤติกรรมเท่าใดนัก แต่ถ้าค่านิยมใหม่ที่นำเข้ามาแตกต่างจากเดิมมาก
ความขัดแย้งระหว่างค่านิยมก็ย่อมจะก่อให้เกิด
ปัญหาในระดับพฤติกรรมมาก
คนรุ่นใหม่จะพบว่ามีปทัสถานทางสังคมอยู่หลายอย่างที่ขัดแย้งทางสังคมอยู่หลายอย่างที่ขัดแย้งกันในเรื่องเดียวกัน
จึงยากแก่การจะตัดสินใจบุคคลที่คบหาสมาคมด้วยก็มีทั้งฝ่ายนิยมวัฒนธรรมเดิม และฝ่ายนิยมวัฒนธรรมใหม่ สิ่งต่าง ๆ
เหล่านี้สำหรับคนที่มีผู้แนะนำหรือแนะแนวที่ดีและรอบรู้พอสมควรก็สามารถแก้ปัญหาต่าง
ๆ ได้ บ้าง แต่คนจำนวนไม่น้อยจะ “หลงทาง” คืออาจเลือเดินทางที่ไม่ถูกต้องได้
2. ค่านิยมในเรื่องการออมทรัพย์และการลงทุน ซึ่ง Max Weber อธิบายว่าเป็นผลสืบเนื่องมาจากคำสอนและการปฏิบัติตามแนวศาสนาคริสเตียน
นิยายโปรเตสแตนท์ คือคนตะวันตกมีความต้องการที่จะออมทรัพย์เพื่อลงทุนให้เกิดทรัพย์เพิ่มขึ้นมาอีกเรื่อย
ๆ อยู่ในระดับที่สูงมากซึ่งถือว่าเป็น “หกัวใจ” ของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
3.
ค่านิยมเรื่องการให้ความสำคัญแก่งานและผลสำเร็จของงานมากกว่าการคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล คนตะวันตกจึงเป็นคนประเภทที่ค่อนข้างจะเอาจริงเอาจังในเมื่อเปรียบเทียบกับคนตะวันออก
ในขณะที่คนไทยเราถือทางสายกลางเป็นที่ประเสริฐ
คนตะวันตกกลับมุ่งทำงานอย่างเต็มที่
เพื่อหวังในผลสำเร็จของงานเป็นที่ตั้ง
จนกระทั่งมีนักสังคมศาสตร์บางท่านขนานนามสังคมตะวันตกว่าเป็น “สังคมสัมฤทธิผล” คือ
คนส่วนใหญ่ในสังคมมุ่งแข่งขันกันทำงานเพื่อผลงานที่ดีเด่นกว่าคนอื่นมากกว่าที่มุ่งแสวงหาความสนุกสบายจากชีวิต
4.
ความเชื่อในหลักการของวิทยาศาสตร์ซึ่งเน้นหนักถึงความสามารถของมนุษย์ที่จะเอาชนะหรือควบคุมธรรมชาติได้
คนตะวันตกมุ่งที่จะศึกษาหาคำอธิบายถึงปรากฎการณ์ธรรมชาติและปรากฎการณ์ทางสังคมต่าง
ๆ เพื่อให้ทราบถึง “ธรรมชาติ”
ที่แท้จริงของปรากฎการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้
แล้วจึงแสวงหาวิธีการต่าง ๆ เพื่อสร้างสภาวะความเป็นอยู่ทั่ว ๆ ของมนุษย์ให้ดีขึ้นเรื่อย
ๆ อีกนัยหนึ่งก็คือว่าคนตะวันตกมุ่งจะเอาสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบกายมนุษย์มาเป็นบริวารรับใช้มนุษย์ เป็นการเพิ่มความสามารถของมนุษย์ขึ้นไปเรื่อย ๆ
แต่คนไทยเรากลับพยายามที่จะอยู่กันหรือปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ
ที่เป็นอยู่ หรือมีอยู่มากกว่าที่จะมุ่งแก้ไขปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหรือควบคุมให้อยู่ภายใต้อำนาจของมนุษย์
เพราะเหตุว่าคนไทยดั้งเดิมถือว่าธรรมชาติมีอำนาจสูงกว่ามนุษย์
มนุษย์จึงควรปรับตัวให้เข้ากับภาวะต่าง ๆ ของธรรมชาติมากกว่าจะควบคุมธรรมชาติ แน่นอนที่ว่าแนวคิดแบบนี้เป็นแนวคิดของคนในสังคมที่วิทยาศาสตร์ยังไม่เจริญโดยทั่วไป
ค่านิยมเด่น ๆ
จากวัฒนธรรมตะวันตกเหล่านี้ได้หลั่งไหลเข้ามาสู่วัฒนธรรมไทยมากบ้างน้อยบ้างตามสื่อแห่งความเปลี่ยนแปลงสามประการดังได้กล่าวไว้แล้วแต่ต้น
คราวนี้ลองหันมาพิจารณาถึงค่านิยมทางวัฒนธรรมของจีนที่เข้ามาสู่คนไทยกันดูบ้าง
ดังได้กล่าวไว้แล้วว่าคนจีนที่อพยพเข้ามาทำมาหากินบนผืนแผ่นดินไทยเป็นสื่อนำค่านิยมแห่งวัฒนธรรมจีนเข้ามาแล้วเผยแพร่ในสังคมไทยในระดับพฤติกรรมหรือการกระทำของคนจีนในประเทศไทย
พฤติกรรมที่แสดงออกเด่นชัดของคนจีนในประเทศไทยได้แก่
1.ความขยันขันแข็งในการทำงาน
2.ความรู้จักเก็บออมทรัยพ์เพื่อลงทุนค้าขายต่อไป
3. เพื่อรู้จักคบและประจบผู้มีอำนาจด้วยการให้สินบนต่างๆเพื่อผลประโยชน์
คือความอยู่รอดและเจริญก้าวหน้าของตนเอง
และจากพฤติกรรมข้อนี้ทำให้คนไทยบางคนลงความเห็นว่าคนจีนเป็นผู้นำเอาวิธีการคอร์รัปชั่นมาเผยแพร่ในประเทศไทย
( ดูประหนึ่งว่าเดิมมานั้นคนไทยไม่รู้จักฉ้อราษฎร์บังหลวงกระนั้นแหละ)
4.
การให้ความสำคัญแก่อาชีพอื่น ผลที่ตามาประการหนึ่งก็คือว่า
คนจีนและคนไทยเชื้อสายจีนควบคุมการค้าต่างๆไว้ในกำมือเกือบหมดสิ้น (เพราะว่าคนไทยแต่ดั้งเดิมไม่นิยมทำการค้า
คือนิยมแต่อาชีพรับราชการกับการทำนาทำไร่ สวน เท่านั้น )
พฤติกรรมต่างๆ ของคนจีนในเมืองไทดังที่ได้บรรยายเป็นข้อๆมาแล้วนั้นเราอาจอธิบายในระดับค่านิยมได้ว่า
คนจีนถือเอาประโยชน์จากสิ่งแวดล้อมและแสวงหา “กำไร” จากบุคคลอื่นมากกว่าที่จะมุ่งแสวงหากำไรจากชีวิต
ดังเช่นกรณีของคนไทยความแตกต่างระหว่างการแสวงหากำไรจากชีวิตในประการที่สำคัญก็คือว่าการแสวงหากำไรจากคนอื่นนั้นมีผลทำให้ตนเจริญรุ่งเรืองขึ้น
แต่คนอื่นๆรอบตัวเราเสียประโยชน์ อาจยากจนได้
และเดือดร้อนจากการกระทำของเราด้วยไม่มากก็น้อย
แต่การแสวงหากำไรจากชีวิตนั้นมีผลทำให้ชีวิตแต่ละชีวิตได้สนุกสนานเต็มที่ตามอัตภาพ
แต่มิได้มุ่งปรับปรุง หรือเปลี่ยนแปลงสภาพการณ์ต่างๆ ของชีวิตให้ดีขึ้นแต่อย่างไร
เมื่อพฤติกรรมเด่นสองประการนี้มาปะทะกันเข้า
ผลก็คือว่าคนไทยส่วนใหญ่ซึ่งเป็นชาวไร่ ชาวนายากจนลงอย่างถนัดใจ
แต่คนไทยส่วนน้อยซึ่งเป็นเจ้านายข้าราชการ กลับร่ำรวยขึ้น (เพราะสินบนจากคนจีน)
แต่ผลประโยชน์ของชาติโดยส่วนรวมหรืออนาคตของคนไทยโดยส่วนรวมและกลับมืดมนลงไปเรื่อยๆ
ในขณะเดียวกับที่สถานะทางเศรษฐกิจของคนจีนในประเทศไทยกลับก้าวล้ำหน้าบุคคลชั้นต่างๆของไทยไปทั้งหมด
จนพอสรุปได้ว่า ภาวะทางเศรษฐกิจของไทยตกอยู่ภายใต้กำมือของคนจีน
จากภาวะการณ์ดังกล่าวแล้วจึงก่อให้เกิดมีความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ต่อคนจีนขึ้นในกลุ่มคนไทยโดยทั่วไป
ปัญหานี้ยังเป็นปัญหาทางสังคมเรื้อรังมาเรื่อยจนถึงปัจจุบัน
ค่านิยมดั้งเดิมของไทย
|
ค่านิยมตะวันตก
|
1.
การนับถือบุคคล
2.
นิยมความสนุกสนานรื่นเริง
3.
นิยมใช้จ่ายทรัพย์ในปัจจุบัน
4.
นิยมทำบุญให้ทาน
5.
นิยมทางสายกลาง
6.
ถือตนเองเป็นสำคัญ
|
1.
การนับถือหลักการ
2.
นิยมทำงานหนัก
3.
นิยมออมทรัพย์เพื่อการลงทุน
4.
ไม่นิยมให้ ไม่นิยมขอ
5.
นิยมความรุนแรงเข้มงวด
6.
ถือกฎหมาย ระเบียบเป็นสำคัญ
|
จากตารางที่แสดงถึงค่านิยมดั้งเดิมของไทย
และค่านิยมตะวันตกที่แพร่เข้ามาในสังคมไทย
ได้แสดงให้ปรากฏชัดแจ้ง คือ
การเปรียบเทียบข้างต้นมุ่งแสดงถึงความแตกต่างหรือความขัดแย้งกันเป็นสำคัญ
ฉะนั้น จึงได้รวบรวมเอาค่านิยมกระแสรองเข้ามาด้วย
เพราะมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของคนอยู่ไม่น้อย
ส่วนค่านิยมจีนที่แตกต่างจากค่านิยมตะวันตกก็คือการแสวงหา “ กำไร “ จากคนอื่นโดยวิธีการให้สินบน ( กรณีของผู้มีอำนาจ และฉ้อโกง ) (กรณีของผู้ที่อ่อนภูมิปัญญากว่า)
ส่วนคนไทยนั้นมุ่งแสวงหา “ กำไร “ จากชีวิตเป็นสำคัญดังได้กล่าวมาแล้ว
แม้ว่าจะมีแนวนิยมในเรื่องการให้ความสำคัญแก่ผู้มีอำนาจ (ผู้ใหญ่)
อยู่ด้วยก็ตาม
แต่พฤติกรรมที่แสดงออกมักจะเป็นไปในรูปของการประจบประแจง เพื่อเอาตัวรอดหรือเพื่อให้ตนได้ดีมากกว่าการเสนอ
ให้สินบนโดยตรง ( อาจจะเนื่องมาจากคนไทยฐานะไม่ร่ำรวยที่พอที่จะให้สินบนก้อนใหญ่แก่
“ นาย “ ก็อาจเป็นได้ )
เมื่อมีค่านิยมแตกต่างกันออกไปสามทางใหญ่ๆ เช่นนี้
ภาวะทางพฤติกรรมของคนไทยปัจจุบันจึงมีความขัดแย้งกันอยู่เป็นอันมาก
เพราะปทัสถานของสังคมและค่านิยมของสังคมแตกต่างกันมีปรากฏอยู่เคียงข้างกันในสังคมเดียวกัน
การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมไทย
ความหมายของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม
สังคมมนุษย์นั้นไม่ได้อยู่ในสภาพที่หยุดนิ่ง
หากแต่จะเคลื่อนไหวตลอดเวลาดังนั้นแนวโน้มโดยทั่วไปของสังคมจึงอยู่ในสภาพที่จะเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
โดยความหมายของการเปลี่ยนแปลงแล้วเราพิจารณาในลักษณะของการเปรียบเทียบความแตกต่างของสิ่ง
ๆ หนึ่งในเวลาต่างกัน
การเปลี่ยนแปลงจึงเกี่ยวข้องกับเวลาหมายความว่าการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมนี้เราพิจารณาในแง่การเปรียนเทียบความแตกต่างของสังคมและวัฒนธรรมหนึ่งในเวลาที่ผ่านไป
วิลเบอร์ มัวร์
ซึ่งสนใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมเป็นพิเศษได้ให้คำนิยามของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมว่า
“เป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสังคมอย่างมีนัยสำคัญ
ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบของการกระทำและการปะทะสังสรรค์รวมทั้งผลของการกระทำและโครงสร้างที่ก่อให้เกิดปทัสถานอย่างเห็นได้ชัด”
อย่างไรก็ตามในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมนี้เราอาจจำแนกได้เป็น
2 ประการ ทั้งนี้เพื่อให้ง่ายต่อการพิจารณารูปธรรม
กล่าวคือถ้าพิจารณาในแง่ของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม (Social change) นั้นจะเกี่ยวข้องกับระดับพฤติกรรมเป็นสำคัญ
ซึ่งหมายถึงเป็นการพิจารณาการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับการประพฤติปฏิบัติการแสดงออกต่าง
ๆ ที่เกิดจากการปะทะสังสรรค์ของสมาชิกสังคม
แต่ถ้าพิจารณาในแง่การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม (Cultural change) นั้นจะหมายถึงการเปลี่ยนแปลงในระดับปทัสถาน (Norms) อันได้แก่
การเปลี่ยนแปลงของระบบกฎเกณฑ์ต่าง ๆ
ที่ครอบคลุมสังคมนั้นและเมื่อเราพูดถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมก็จะครอบคลุมไปถึงระเบียบกฎเกณฑ์
ทัศนคติ ค่านิยม แบบแผนของความสัมพันธ์ สถานภาพและบทบาทกฎหมายต่าง ๆ ฯลฯ
ซึ่งการประพฤติปฏิบัติไปตามปทัสถานเหล่านี้จะอยู่ในโครงสร้างของสังคม
ลักษณะการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรม
โดยทั่ว ๆ
ไปสังคมจะไม่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วแบบที่เรียกว่าเปลี่ยนแปลงอย่างหน้ามือเป็นหลังมือหากการเปลี่ยนแปลงนั้นจะมีลักษณะแบบค่อยเป็นค่อยไป
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจึงเป็นการเปลี่ยนแปลงในความสัมพันธ์ย่อย ๆ (Social
relations) โดยทั่ว ๆ ไป ตัวอย่างเช่น
ความเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างบิดา มารดากับบุตร
ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์ หรือความสัมพันธ์ระหว่างผู้น้อยกับผู้ใหญ่ เป็นต้น
และถ้าความสัมพันธ์ทั่ว ๆ ไปที่กล่าวถึงนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ
เป็นระยะเวลานาน ๆ
ก็อาจมีผลทำให้ความสัมพันธ์ที่เป็นแบบแผนหรือความสัมพันธ์ระดับโครงสร้างของสัมคมจริง
ๆ เปลี่ยนแปลงไปได้ ซึ่งก็ถือว่าได้มีการเปลี่ยนแปลงในระดับสถาบันแล้ว
อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ย่อยนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอแต่ความสัมพันธ์ในระดับโครงสร้างจะยังไม่เปลี่ยนแปลงไปทั้งนี้เพราะว่าอาจมีความสัมพันธ์ใหม่ที่ถือปฏิบัติเกิดขึ้นมาแทนที่
ทำให้สังคมอยู่ในสภาพที่สมดุลย์เคลื่อนที่ต่อไปได้
นอกจากนี้สังคมที่ไม่มีการติดต่อกับสังคมอื่นแล้วอาจไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย
ทั้งนี้เป็นเพราะยังไม่เห็นตัวอย่างการเปลี่ยนแปลง
ไม่เห็นตัวอย่างของสัมคมอื่นที่ดีหรือที่แตกต่างไปจากตน
การไม่เห็นตัวอย่างมีผลทำให้ไม่มีการแปลงสภาพแวดล้อมดั้งเดิมของตนอีกด้วย อาทิเช่น
สังคมดั้งเดิมในทวีปแอฟริกา หรือชาวเกาะบางแห่งในมหาสมุทรแปซิฟิก เป็นต้น
ระดับการเปลี่ยนแปลงทางสัมคมและวัฒนธรรม
การเปลี่ยนแปลงทางสัมคมอย่างน้อยมีด้วยกัน
2 ระดับ คือ
1. ระดับกลุ่มคนย่อย
ๆ เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของกลุ่มคนบางกลุ่ม
ทั้งนี้เพราะการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมกลุ่มอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงปทัสถานและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสัมคมได้
2. ระดับสถาบันหรือระดับองค์การ
การเปลี่ยนแปลงระดับนี้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงในสถาบันครอบครัว
สถาบันทางเศรษฐกิจหรือสถาบันการเมืองและการปกครอง เป็นต้น
และการเปลี่ยนแปลงในระดับนี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของสังคมได้เช่นเดียวกัน
การเปลี่ยนแปลงทางสังคมกับการพัฒนา
การเปลี่ยนแปลงทางสัมคมมิใช่เป็นการเปลี่ยนด้านใดด้านหนึ่งโดยเฉพาะ
แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงของทุก ๆ ด้านโดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจและการเมือง
การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจก็เป็นการเปลี่ยนแปลงในการผลิตการแจกจำหน่ายเศรษฐทรัพย์ในบรรดาสมาชิกของสัมคมเหล่านี้ซึ่งเราอาจจะมองเห็นได้ในรูปของวัตถุธรรม
ส่วนการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองนั้นเป็นไปในระบบของการครอบครองอำนาจและการใช้อำนาจของสมาชิกสังคมนั้นซึ่งค่อนข้างนามธรรมแต่ก็อาจมองเห็นได้ในรูปของแบบอย่างหรือระบบของการมีอำนาจ
เช่น การปกครองในระบอบประชาธิไตย สังคมนิยมหรือเผด็จการ เป็นต้น
การเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งอาจส่งผลสะท้อนต่อเนื่องกันไปเป็นลูกโซ่และผลสรุปก็คือเกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
ในเมื่อเราถือว่าสังคมก็คือพฤติกรรมของคนในสังคมนั้นได้ปฏิบัติต่อกัน
การเปลี่ยนแปลงจากเวลาหนึ่งถึงอีกเวลาหนึ่งซึ่งเป็นอัตราการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีการควบคุมเร่งรัดและมิได้มีเป้าหมายแต่อย่างใด
เราเรียกว่า “วิวัฒนาการ”
การวิวัฒนาการทางสัมคมจึงอาจเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ต้องการหรือไม่ต้องการก็ได้
แต่การเปลี่ยนแปลงที่สังคมของเรากำลังต้องการก็คือ การเปลี่ยนแปลงที่เรียกว่า “การพัฒนา” (Development) ทั้งนี้ก็เพราะว่าการพัฒนาเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ได้กำหนดทิศทางและจุดมุ่งหมายรวมทั้งการควบคุมอัตราการเปลี่ยนแปลงไว้ตามระยะเวลาที่สามารถกำหนดได้ด้วย
เครื่องชี้การเปลี่ยนแปลงทางสังคม
การเปลี่ยนแปลงคือ
การเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างของสิ่งหนึ่งเมื่อเวลาต่างกัน
สิ่งที่จะต้องพิจารณาก็คือ
เราทราบได้อย่างไรว่าสังคมมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ในการพิจารณาการเปลี่ยนแปลงทางสังคมดังได้กล่าวแล้วข้างต้นว่า
เรามุ่งพิจารณาในระดับพฤติกรรมของบุคคล คือการประพฤติปฏิบัติของบุคคลหรือกลุ่มคนนั่นเอง
ซึ่งพฤติกรรมที่แสดงออกนี้จะมีลักษณะบทบาท (Role) ที่ถูกกำหนดโดยสถานภาพทางสัมคมฉะนั้นบทบาทที่แสดงออกจึงเป็นเครื่องชี้บ่งให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
หมายความว่าคนและกลุ่มคนในสังคมต่างก็มีสถานภาพต่าง ๆ กัน
พฤติกรรมที่แสดงออกจะสอดคล้องกับบทบาทที่กลายเป็นสถาบันแล้ว (Institutionalized
ideal role) อันจะเป็นรากฐานที่คาดหวังได้ว่าควรจะมีบทบาทอย่างไรบ้างกและเมื่อใดบทบาทอันหนึ่งได้แปรเปลี่ยนไปในระยะเวลาที่แตกต่างกันไม่ว่าจะเป็นความแตกต่างในด้านปริมาณหรือคุณภาพหรือทั้งสองอย่างก็ตามเมื่อนั้นแสดงว่าได้มีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมเกิดขึ้นแล้ว
ตัวอย่างเช่น เมื่อสมัยก่อนสถานภาพหลักของหญิงไทยเป็นแม่บ้าน บทบาทก็คือดูแลบ้าน
ดูแลลูก ๆ แต่ในสภาพปัจจุบัน สถานภาพหญิงไทยไม่ได้เป็นแม่บ้านเพียงอย่างเดียว
อาจเป็นครู ผู้จัดการบริษัท รัฐมนตรี ฯลฯ
บทบาทของหญิงไทยก็มีมากขึ้น
นั่นแสดงให้เห็นว่าได้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแล้ว
หรือในการสอนของครูอาจารย์ในสมัยก่อนนั้น ครูส่วนใหญ่จะสอนโดยการพูดและเขียน
แต่ในปัจจุบันบทบาทนั้นได้เปลี่ยนแปลงไป ครูสอนด้วยอุปกรณ์ทันสมัยชนิดต่าง ๆ
นอกไปจากการพูดและเขียน มีการใช้วิทยุ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ ฯลฯ เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางคุณภาพของบทบาทครูเกิดขึ้นแล้ว
การเปลี่ยนแปลงทางสังคมใด ๆ ก็ตาม
ก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงนั้นจะมีลักษณะกลายเป็นสถาบันเสียก่อน (Institutionalize)
ซึ่งย่อมเป็นผลจากการต่อสู้กันระหว่างพลังทางสังคมที่ต่อสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงนั้นกับพลังทางสังคมที่ไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลงซึ่งก็ย่อมเป็นผลมาจากการประดิษฐ์คิดค้น
(Invention) การขัดแย้ง (Confict)
การแข่งขัน (Competition) การปรับปรุง (Assimilation) หรือการประสานและร่วมมือกัน (Cooperation) เป็นพลังแห่งการเปลี่ยนแปลง
และแรงต้านการเปลี่ยนแปลงอันเกิดจากการอบรมสั่งสอนให้อยู่ในกรอบธรรมเนียมประเพณี (Socialization
and Enculturation) หรือการควบคุมทางสังคม (Social control) เมื่อใดแรงของการเปลี่ยนแปลงมีมากกว่าก็จะนำมาซึ่งลักษณะของสถาบัน (Institution)
เมื่อนั้นเราจึงถือว่าสังคมได้มีการเปลี่ยนแปลงและเมื่อใดได้มีกิจกรรม
(Activity) เพื่อการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ต้องการและสัมฤทธิผลในระยะเวลาที่หวังถือได้ว่าได้มีการพัฒนาเกิดขึ้นแล้ว
สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม
โดยที่นักสังคมวิทยามานุษยวิทยามองสังคมเป็นระบบกระทำการ
(System of Action) การเปลี่ยนแปลงใด ๆ
ที่จะเกิดขึ้นในระบบสังคมหนึ่ง ๆ ก็ย่อมจะสามารถพิจารณาสาเหตุออกได้เป็น 2 ประการใหญ่ ๆ ดังต่อไปนี้
1. การเปลี่ยนแปลงทางสังคมนั้นมีสาเหตุมาจากภายในระบบของสังคมเอง
2. การเปลี่ยนแปลงทางสังคมนั้นมีสาเหตุมาจากภายนอกระบบของสังคม
1. การเปลี่ยนแปลงที่มีสาเหตุขึ้นมาจากภายในของระบบสังคมนั้นก็คือการเปลี่ยนแปลงใด
ๆ ที่เกิดขึ้นจากการทำงานของระบบเองไม่มีพลังภายนอกเข้ามาบีบบังคับ
และตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ยังแบ่งออกได้เป็น 2 ประการคือ
ก. การประดิษฐ์คิดค้น (Invention) ในสังคมการประดิษฐ์คิดค้นนี้เป็นการนำเอาเทคนิควิธีการหรือความคิดที่มีอยู่เดิมมาผสมผสานกับความรู้ใหม่
ๆ
เป็นการใช้ความรู้ที่มีอยู่เดิมแล้วสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมาการประดิษฐ์คิดค้นเป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป
คือมีการผสมผสานปรับปรุงอย่างต่อเนื่องกัน การประดิษฐ์คิดค้นนี้ยังจำแนกออกไปได้อีก
2 ประการ คือ การประดิษฐ์คิดค้นทางวัตถุ (Technological
invention) อันได้แก่ รถยนต์ โทรทัศน์ เครื่องบิน
หรือเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน และการประดิษฐ์คิดค้นทางสังคม (Socilal
invention) ได้แก่ การคิดสร้างกฎหมายใหม่ ๆ ขนบประเพณีหรือธรรมเนียมใหม่
ๆ ลัทธิศาสนาใหม่ ๆ ฯลฯ
ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีผลทำให้การดำเนินชีวิตในสังคมนั้นเปลี่ยนแปลงไป
อย่างไรก็ตามการประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ ๆ
ขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นในด้านวัตถุหรือทางสังคมก็ตามก็ไม่ใช่ของง่าย ในสังคมต่าง ๆ
นั้นนักคิดเหล่านี้มีไม่มากนัก
ดังนั้นผลกระทบที่จะทำให้เปลี่ยนแปลงจากภายในสังคมนั้น ๆ เองจึงมีน้อย
ข. การอบรมสั่งสอนสมาชิกใหม่ของสังคมได้อย่างไม่ครบถ้วน
(Imperfect socialization) การอบรมสั่งสอนสมาชิกผู้เยาว์ของสังคมนี้แต่เดิมมาเป็นหน้าที่ของครอบครัวโดยเฉพาะแต่ในสภาพปัจจุบันได้มีสถาบันการศึกษารับช่วงไปอบรมสั่งสอนอีกที่หนึ่ง
ทั้งนี้เพราะว่าสภาพเศรษกิจและสังคมปัจจุบันได้ทำให้พ่อแม่ต้องออกไปทำงานนอกบ้านเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวมากขึ้น
จะกลับบ้านก็เย็นค่ำ เวลาที่จะได้พบปะพูดจาอบรมสั่งสอนบุตรหลานก็มีน้อยลง
ภาระนี้จึงไปตกอยู่กับคนแก่ คนใช้ และโรงเรียน
สำหรับกรณีโรงเรียนนั้นถ้าสถาบันการศึกษาอันเป็นที่หวังของพ่อแม่ได้ละเลยในหน้าที่นี้
ก็ย่อมทำให้ผู้เยาว์ที่จะเป็นสมาชิกของสังคมต่อไปขาดความรู้ความเข้าใจในวัฒนธรรมของสังคม
อันมีผลต่อพฤติกรรมที่จะเปลี่ยนแปลงไปได้
นอกจากนี้ในบางครั้งพ่อแม่ที่เป็นผู้ให้การอบรมสั่งสอนผู้เยาว์โดยตรงออกไปทำงานนอกบ้านและคงทิ้งให้บุตรหลานของตนต้องอยู่กับคนแก่ที่เป็น
ปู่ ย่า ตา ยาย หรือคนรับใช้จะทำให้เด็กขาดความรัก ความอบอุ่น
และอาจเลียนแบบนิสัยของ ปู่ ย่า ตา ยาย อันเป็นการเลี่ยนแบบพฤติกรรมข้ามรุ่น
กล่าวคือเกิดการปลูกฝังลักษณะคนรุ่นใหม่จากวัฒนธรรมของคนรุ่นเก่า
ทำให้คนรุ่นใหม่เรียนรู้วัฒนธรรมของสังคมไม่ถูกต้อง
ซึ่งจะมีผลต่อพฤติกรรมที่ไม่สอดคล้องกับสังคมที่เขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไปในอนาคตได้
เพราะฉะนั้นเราจะสังเกตได้ แม้ว่าสังคมนั้น ๆ จะไม่มีการประดิษฐ์คิดค้นอะไรเลย
แต่สังคมก็ยังคงมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ดี
เพราะสาเหตุอันเนื่องมาจากการอบรมสั่งสอนที่ไม่สมบูรณ์นี้เอง
2. การเปลี่ยนแปลงที่มีสาเหตุมาจากภายนอกระบบสังคม
การเปลี่ยนแปลงที่มีสาเหตุจากภายนอกระบบสังคมนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการติดต่อกันอันเป็นกระบวนการที่มีทั้งการให้และการรับ
ทั้งนี้เพราะว่าตามปกติจะมีการปะทะสังสรรค์กันระหว่างวัฒนธรรมของแต่ละสังคมที่เข้ามาติดต่อกัน
การเปลี่ยนแปลงจากสาเหตุนี้ปรากฎให้เห็นหลายรูปแบบ ซึ่งในที่นี้จะจำแนกออก 2 ประการ คือ
ก.
การแพร่กระจาย (Diffusion) การแพร่กระจายหมายถึงการที่วัฒนธรรมจากสังคมหนึ่งกระจายไปสู่สังคมอื่น
การเปลี่ยนแปลงทางสังคมส่วนใหญ่จะมาจากการแพร่กระจาย ตัวอย่างเช่น
ในสังคมไทยได้รับเอาการแพร่กระจายของวัฒนธรรมตะวันตกในเรื่องเกี่ยวกับการแต่งกาย
สวมเสื้อนอก ผูกเนคไท สวมกระโปรง สวมรองเท้าส้นสูง
หรือการที่คนไทยรับเอาการแพร่กระจายทางวัฒนธรรมอินเดียในด้านพระพุทธศาสนา
รับเอาค่านิยมในด้านความขยันอดทน การเอาประโยชน์จากคนอื่นจากวัฒนธรรมจีน เป็นต้น
การแพร่กระจายทางวัฒนธรรมมีทั้งในด้านวัตถุและที่ไม่ใช่วัตถุ
การที่วัฒนธรรมแตกต่างกันมาปะทะกันก็จะเกิดการเปรียบเทียบและวัฒนธรรมเด่นก็จะแผ่กระจายออกไปเมื่อคนส่วนใหญ่เห็นว่าดีก็จะรับเอามาปฏิบัติโดยเฉพาะวัฒนธรรมทางด้านวัตถุนั้นง่ายกว่าวัฒนธรรมที่ไม่ใช้วัตถุ
นอกจากนี้การสื่อสารการคมนาคมที่สะดวกรวดเร็วในปัจจุบันมีส่วนช่วยทำให้การแพร่กระจายเป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
ข. การยืมทางวัฒนธรรม (Cultural
borrowing) ในปัจจุบันได้มีการขอยืมกันทางวัฒนธรรมระหว่างมิตรประเทศ
การยืมวัฒนธรรมนี้จะมีลักษณะของการแลกเปลี่ยน (Exchange) เมื่อมีการยืมแล้วก็จะมีการนำมาปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมกับวิถีชีวิตของสังคมนั้น
ตัวอย่างเช่น สังคมไทยของเราในปัจจุบันได้มีการยืมวัฒนธรรมตะวันตกมาปรับใช้มากมาย
ทั้งภาษาพูด การแต่งกาย ทัศนคติ ค่านิยม ลัทธิการปกครองแบบประชาธิปไตย รถยนต์
รวมทั้งเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ เป็นต้น วัฒนธรรมตะวันตกนี้เมื่อราว ๆ 2,000
ปีมาแล้ว เมื่อเทียบกับวัฒนธรรมจีน อินเดีย และกรีก
วัฒนธรรมตะวันตกยังด้อยอยู่มากวัฒนธรรมตะวันตกต้องยืมวัฒนธรรมกรีก และอินเดีย
แต่มาในปัจจุบันนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปเพราะวัฒนธรรมตะวันตกเด่นขึ้นมาก
เนื่องจากความเจริญทางเทคโนโลยีมีระบบวิชาการที่ก้าวหน้ากว่า
วัฒนธรรมเด่นนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการใช้ประโยชน์ทางวิชาการได้ดีมาก
อย่างไรก็ตามวัฒนธรรมเด่นสมัยหนึ่งอาจเป็นวัฒนธรรมด้อยอีกสมัยหนึ่งก็ได้
ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมไทย
เป็นการคาดคะเนกันว่าสังคมมนุษย์นี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงมาตามลำดับจากสังคมเล็ก
ๆ ได้เติบโตเป็นสังคมใหญ่ขึ้น มีจำนวนประชากรมาก มีโครงสร้างสังคมสลับซับซ้อน
เนื่องจากการแบ่งงานกันอย่างละเอียดและมีระบบการแบ่งช่วงชั้นในสังคม
ลักษณะชุมชนเปลี่ยนจากชุมชนขนาดเล็กที่เร่ร่อนมาเป็นชุมชนอยู่กับที่
ทำให้สามารถขยายออกไปเป็นชุมชนใหญ่ ๆ อย่างเช่นมหานครต่าง ๆ
ในปัจจุบัน
ข้อน่าสังเกตอย่างหนึ่งก็คืออัตราการเปลี่ยนแปลงในสมัยก่อนนั้นจะเป็นไปอย่างช้า
ๆ แนวโน้มปัจจุบันจะเห็นได้ว่าอัตราการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วขึ้นเรื่อย ๆ
มนุษย์เรามีส่วนในการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมธรรมชาติมากขึ้น
เดิมในสัมคมโบราณก็เพียงการล่าสัตว์ เก็บพืชผักผลไม้เป็นอาหาร
แทบไม่กระทบกระเทือนธรรมชาติแวดล้อมเลย
ต่อมาเมื่อมนุษย์รู้จักเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์มนุษย์เปลี่ยนแปลงธรรมชาติแวดล้อมมากขึ้น
และในยุคอุตสาหกรรมมนุษย์เราก็ทำลายสิ่งแวดล้อมมากจนกลายเป็นอันตรายต่อตัวมนุษย์เอง
การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีเป็นรากฐานของวิวัฒนาการทางสังคมเทคโนโลยีทำให้มนุษย์เรายืดความสามารถของร่างกายออกไปมากมาย
กล้องจุลทัศน์ โทรทัศน์ โทรศัพท์ ทำให้คนเรามองเห็นได้มากขึ้นได้ยินไกลขึ้น รถยนต์
เรือ เครื่องบิน ทำให้เราไปได้ไกลขึ้นและรวดเร็วขึ้น การ
เปลี่ยแปลงทางเทคโนโลยีของมนุษย์เทียบได้กับวิวัฒนาการทางร่างกายสัตว์
ย่อมทำให้ชีวิตความเป็นอยู่และสังคมเปลี่ยนไป
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้มีพลังงานที่สังคมนำมาใช้ได้มากขึ้นย่อมทำให้สามารถผลิตสินค้าได้มากขึ้น
สามารถเลี้ยงจำนวนประชากรได้มากขึ้นซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุดมการณ์และภาษาเทคโนโลยีเป็นกรอบซึ่งขีดวงจำกัดวิธีที่สังคมจะนำมาใช้แก้ปัญหาต่าง
ๆ
สังคมที่มีระดับการใช้เทคโนโลยีต่ำย่อมไม่สามารถใช้วิธีการอย่างเดียวกันกับสังคมที่มีเทคโนโลยีสูง
เครื่องมือย่อมเป็นตัวกำหนดวิธีแก้ปัญหาและวิธีที่แก้ปัญหาที่ต้องอาศัยเครื่องมือทันสมัยย่อมนำไปใช้สังคมที่ขาดเครื่องมือเหล่านั้นไม่ได้
การเปลี่ยนแปลงทางสังคมในปัจจุบันและอนาคตมีแนวโน้มไปในทางที่เราจะกำหนดทิศทางการเปลี่ยนแปลงได้มากขึ้น
นักคิดและนักวิทยาศาสตร์ทางสังคมก็ได้พยายามที่จะเสนอรูปแบบในการศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางสังคมโดยการรวบรวมข้อมูลซึ่งเราสามารถพิสูจน์และมีประสบการณ์ได้อันทำให้เราสามารถเข้าใจถึงสาเหตุและความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่าง
ๆ ที่ปรากฎอยู่ในสังคมมนุษย์
อย่างไรก็ตามทฤษฎีทางสังคมนั้นยังคงมีข้อบกพร่องอยู่อีกมากมายโดยเฉพาะในเรื่องของรูปแบบของการเปลี่ยนแปลงนั้น
ๆ
ความขัดแย้งในสังคมไทยในปัจจุบัน
จาก “กระแสความขัดแย้ง”
จนถึง “ความแตกแยกของประชาชน” ...!!
จาก
“กระแสความขัดแย้ง” จนถึง “ความแตกแยกของประชาชน” ...!!
นับวันความรุนแรงที่สืบเนื่องมาจากความแตกต่างทางความคิดที่กลายเป็นความแตกแยกทางสังคมไปเกือบทุกภาคส่วนของประเทศ
จะนำมาซึ่งเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นถึงความแตกแยกของคนไทยด้วยกันมากขึ้นทุกชั่วขณะ
และที่เป็นประเด็นร้อนแรงอยู่ในขณะนี้ สืบเนื่องมาจากการตระเวนไปยังสถานที่ต่าง
ๆ เพื่อเก็บเกี่ยวความนิยมจากประชาชนสวนกระแสขาลงของท่านนายกฯ
ทักษิณ ทำให้ประชาชนที่มีทั้งกลุ่มที่ “เชียร์”
และกลุ่มที่ “ขับไล่” แห่แหนตามไปสมทบด้วยในเกือบทุกที่
และการไปไหนไปด้วยของประชาชนที่มีทั้งรักทั้งชังเหล่านี้
จากเดิมเพียงแค่การใช้วาจาฟาดฟันกันพอหอมปากหอมคอ
ก็ลุกลามถึงขั้นกระทบกระทั่งกันจนได้รับบาดเจ็บเลือดตกยางออกจนได้
ต่อเหตุการณ์ดังกล่าว
อยากจะสะท้อนถึงมุมมองจากหลายๆ ฝ่าย ที่มีต่อ “กลุ่มผู้ชุมนุม”
เหล่านี้ หลายๆ ท่าน (โดยเฉพาะกลุ่มพันธมิตร ฯ) มองว่า “การชุมนุมของประชาชน” เป็นการกระทำที่เป็นไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย
โดยเฉพาะหากย้อนรอยถึงความเป็นไปในอดีตที่ผ่านมาของวิถีทางทางการเมืองการปกครองของไทยเราที่ผ่านมา
เปรียบ “การชุมนุม” และ “ระบอบประชาธิปไตย” เสมือนเป็น “คู่รักคู่รส” กันก็ว่าได้
หากการชุมนุมดังกล่าวเป็นไปอย่างสงบ
เนื่องจากเป็นหนทางหนึ่งของการแสดงออกเพื่อเรียกร้องเพื่อเข้าไปมีส่วนร่วมในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
รวมทั้งทางการเมืองการปกครอง หรือเป็นการทวงสิทธิตามระบอบประชาธิปไตย
ซึ่งประชาชนสามารถกระทำได้โดยไม่มีความผิดตามกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่ถือได้ว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่เปิดโอกาสให้ภาคประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการมากที่สุด
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม
การชุมนุมดังกล่าวก็ต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย
จึงจะถือเป็นวิถีทางของกระบวนการทางประชาธิปไตยที่แม้จะก่อให้เกิด “ความขัดแย้ง” ในสังคม แต่ในเชิง “ทฤษฎีความขัดแย้ง” (Conflict Theory) แล้ว
ความขัดแย้งก่อให้เกิดผลทั้งในเชิงบวกและลบ
และความขัดแย้งเป็นกระบวนการที่สำคัญในการขัดเกลาสังคม
และไม่มีสังคมใดที่จะมีความสมานสามัคคีอย่างสมบูรณ์ เนื่องจากเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่มีมาแต่กำเนิด
และความขัดแย้งเป็นสภาวะหนึ่งของมนุษย์
ที่ภาวะทางอารมณ์ไม่ว่าจะเป็นความเกลียดหรือความรักต่างก็มีความขัดแย้งทั้งสิ้น
และในมุมกลับกัน ก็มีความคิดเห็นจากหลายๆ ท่าน ที่มองว่าการชุมนุมดังกล่าว เป็น “ปรากฏการณ์ชุมนุม” ที่มีความสุ่มเสี่ยงอันจะก่อให้เกิดความรุนแรงขึ้นได้
นอกจากนี้ยังเป็นการ “ส่งสัญญาณ” ถึงความแตกแยกที่นับวันจะร้าวลึกลงไปเรื่อยๆ
ของสังคมไทย และเป็นภาพสะท้อนที่เป็นรูปธรรมของความขัดแย้งของประชาชน
อันมีผลสืบเนื่องมาจากสิทธิเสรีภาพที่ได้รับจากระบอบประชาธิปไตย รวมทั้งมีคนบางกลุ่มที่ฉวยโอกาสจากสถานการณ์ความขัดแย้งดังกล่าวเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน
และอาศัยร่มเงาของระบอบประชาธิปไตยเป็นฉากกั้นตัวเองให้รอดพ้นจากการกระทำผิด
แต่ไม่ว่าจะเป็นมุมมองใดก็ตามแต่
ผลกระทบจากความขัดแย้งย่อมส่งผลถึงประเทศชาติเราอย่างแน่นอนในด้านภาพลักษณ์ที่มีต่อสายตาของนานาอารยะประเทศ
จึงอยากฝากให้คิดกันสักนิดว่า
บ้านเมืองเราจะเป็นอย่างไรต่อไป…หากปล่อยให้ “ความขัดแย้ง” ขยายวงลุกลามกลายเป็น “ความแตกแยก” อยู่เช่นนี้
เราคนไทยทุกคนจะยอมให้เหตุการณ์เหล่านี้
ดำเนินต่อไปอย่างนั้นหรือ?
ถ้าหากทุกกลุ่มทุกฝ่ายที่ล้วนแล้วแต่เป็น
“คนไทย” ด้วยกันทั้งสิ้น
เห็นแก่ชาติบ้านเมืองกันอย่างแท้จริง ไม่ปล่อยให้ความรู้สึกส่วนตัวมาชี้นำ
รักตัวเอง...แต่ต้องรู้ว่าอะไรควรไม่ควร เพื่อต่อลมหายใจของ “ประชาธิปไตย” ให้ประเทศไทยของเราทุกคนเถิดครับ........สยามรัฐ
การวิเคราะห์สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบัน
ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเดือนธันวาคม
๒๕๕๐ ที่ผ่านมา พรรคพลังประชาชน หรือพรรคไทยรักไทยเดิม
ก็ได้รับคะแนนเสียงอย่างท่วมท้น
โดยเฉพาะผู้แทนที่ได้รับเลือกตั้งจากประชาชนในภาคเหนือและภาคอีสาน พร้อมๆ
กันกับการกลับมาเมืองไทยของอดีตนายก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
โดยที่ย้ำเสมอว่าจะได้ยุติบทบาททางการเมืองแล้ว แต่ในขณะที่อีกฝ่ายเชื่อว่า
อดีตนายก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
เป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังพรรคพลังประชาชนและการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่มาโดยตลอด
เมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลผสมภายใต้การนำของ
นายสมัคร สุนทรเวช ประชาชนทั่วไปก็เชื่อว่าความขัดแย้งที่ทุกฝ่ายเคยมีในอดีต
จะหาทางสมานฉันท์กันได้ ด้วยปัญหาเศรษฐกิจของประเทศไทย ค่าครองชีพที่สูงขึ้น
ปัญหาที่รุมเร้าจากราคาน้ำมันที่ผันผวนตามราคาตลาดโลก
และราคาสิ่งของที่จำเป็นต่อการดำรงชีพทุกชนิดขยับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
น่าจะทำให้ทุกฝ่ายละทิ้งความขัดแย้งทางการเมือง
หันหน้ามาแก้ปัญหาเศรษฐกิจก่อนเพื่อความอยู่รอดของประเทศชาติ
แต่ดูเหมือนว่าทั้งสองฝ่ายจะพักรบ คุมเชิงกันชั่วคราว
แต่เพียงไม่กี่เดือนรอยร้าวฉานในการบริหารประเทศก็เริ่มปรากฏให้เห็น
เมื่อผู้นำรัฐบาลใช้ท่าทีแข็งกร้าวกับฝ่ายตรงข้าม ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับตน
มีการยึดกุมสื่อไว้ในมือ ย้ายข้าราชการชั้นสูงหลายตำแหน่ง
และเมื่อรัฐบาลพรรคพลังประชาชนประกาศว่าจะเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๕๐
ก็ได้กลายเป็นชนวนเหตุและตัวเร่งปฏิกิริยาให้การเผชิญหน้าของทั้งสองฝ่ายรุนแรงขึ้น
ฝ่ายที่สนับสนุนได้มีการนำเสนอให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยเร่งด่วนโดยอ้างว่า
รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่เป็นประชาธิปไตย มีรากฐานมาจากการรัฐประหาร
ทำให้พรรคการเมืองอ่อนแอ
ไม่เป็นประชาธิปไตยขณะที่ฝ่ายคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญเชื่อว่า
พรรคพลังประชาชนต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่เพิ่งผ่านการลงประชามติเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่กลุ่มคนเพียงกลุ่มเดียว
และกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็รวบรัดตัดตอน ไม่ฟังเสียงคัดค้านของประชาชนเลย
และแทนที่จะเอาเวลาไปแก้ไขปัญหาต่างๆที่ประเทศประสบ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา
ไม่ว่าจะเป็นการหยุดชะงักงันของภาวะทางเศรษฐกิจ ความแปลผันในด้านตลาดการลงทุน
ปัญหาความอยู่ดีกินดีของประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศ
เพียงมุ่งหวังเพื่อต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเท่านั้น
อารมณ์ความไม่พอใจของทั้งสองฝ่ายเริ่มคุกรุ่นมากขึ้นเรื่อย
ๆ จากความเห็นที่สวนทางกัน ต่างฝ่ายต่างแสดงความไม่เห็นด้วยกับอีกฝ่ายผ่านสื่อต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นทางโทรทัศน์ วิทยุ อินเตอร์เนต
การจัดเวทีปราศรัยตามสถานที่สำคัญๆต่างๆ โดยตั้งอยู่บนอคติ
โกรธเกลียดมากกว่าที่จะเหตุผลมาหาทางออกร่วมกัน
จนส่อเค้าว่าสถานการณ์อาจจะนำไปสู่ความรุนแรงอีกครั้งหนึ่ง
แม้แต่มีผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองออกมาเตือนสติ ก็ไม่มีใครยอมฟังอีกต่อไป
สังคมไทยจึงแบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างชัดเจน และอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
จากสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบัน
ซึ่งมีการแบ่งขั้วทางการเมืองอย่างชัดเจน
ระหว่างฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาลและฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาล ผู้เขียนจึงสรุปวิเคราะห์สถานการณ์ดังกล่าว
โดยการนำทฤษฎีทางด้านสังคม มาประกอบการสรุปวิเคราะห์สถานการณ์
ซึ่งเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคลโดยยึดถือการอธิบายปรากฏการณ์ตามหลักทฤษฎีการขัดแย้ง
(Conflict Theory)
สาระสำคัญ
จากสถานการณ์ทางการเมือง
ปัญหาบ้านเมืองที่เป็นอยู่ในขณะนี้ทำให้หลายต่อหลายคนคงสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย
เพราะสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นส่งผลให้ประเทศเดินหน้าไปได้ยาก
เพราะไม่รู้ว่าความวุ่นวายต่างๆจะจบลงเมื่อไหร่
ถ้ามองดูโดยภาพรวมจะพบว่าสถานการณ์กำลังย้อนกลับมาสู่จุดเดิม หมายความว่า
ความขัดแย้ง ๒ ขั้ว ที่เกิดขึ้นในขณะนี้คล้ายกับสถานการณ์ก่อนที่จะมีการรัฐประหารเมื่อปี
๒๕๔๙ คือมีการแบ่งออกเป็น ๒ ขั้วคือ ขั้วที่เอาทักษิณกับไม่เอาทักษิณ
และกลุ่มที่ยังมีความเคลื่อนไหวคัดค้านอยู่ในขณะนี้คือ
กลุ่มคนที่เป็นตัวแทนอำนาจเก่าที่มีความตั้งใจและตั้งเป้าหมายที่จะล้มระบอบทักษิณให้ได้
โดยเหมารวมว่ารัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลนอมีนีหรือรัฐบาลตัวแทน
กลุ่มคนเหล่านี้ก็ยังเหมือนเดิมอยู่
มีความตั้งใจเช่นเดิม จะเห็นว่าเครื่องมือที่เขาใช้ในการโจมตีก็คือ
เอาเรื่องความจงรักภักดี
เอาเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเครื่องมือในการกล่าวหาว่าอีกฝ่ายไม่จงรักภักดี
ยังคงใช้เครื่องมือเหล่านี้เป็นวัตถุที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นนายจักรภพ เพ็ญแข
และอีกหลายคน ซึ่งในเรื่องแบบนี้ของสังคมไทย ประเทศไทย เป็นเรื่องที่อ่อนไหวมากๆ
ต่อความรู้สึกในเรื่องสถาบันของคนส่วนใหญ่ภายในประเทศ
แต่เมื่อพรรครัฐบาลพยายามที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ
๒๕๕๐
ก็ถูกกล่าวหาโจมตีทันทีว่าเป็นการแก้ไขเพื่อจะคืนให้อำนาจระบอบทักษิณให้กลับมามีบทบาทใหม่ในสังคมไทยอีก
และแก้ไขเพื่อให้ตัวเองพวกพ้องพ้นผิด แก้ไขเพื่อให้อดีตนายกทักษิณกลับมา
ทางพรรครัฐบาลพยายามกระทำ พูดอยู่หลายครั้งว่าไม่ใช่หรือ ไม่มีเจตนาอย่างที่กล่าวหา
แต่เห็นว่ากฎหมายจะเป็นอุปสรรคต่อการบริหารประเทศ
รวมถึงการพัฒนาประเทศตามรูปแบบการปกครองในระบบประชาธิปไตย
จากสถานการณ์ข้างต้น
ถ้าวิเคราะห์ตามแนวความคิดสำคัญของ Marx ในสาระความคิดเกี่ยวกับความขัดแย้ง
เรื่องการขัดแย้งเชิงปฏิวัติระหว่างชนชั้นและการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
ความขัดแย้งจะมีลักษณะเป็นสองหลัก (bipolor) ในขณะที่ความสัมพันธ์ทางสังคมจะแสดงออกถึงความขัดแย้งอยู่ในตัว
ดังนั้นการขัดแย้งจึงเป็นลักษณะที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
และการขัดแย้งกันเช่นนั้นมักแสดงออกมาเป็นความสนใจที่ตรงข้ามกันของคนสองพวก
ที่เห็นเด่นชัดที่สุดคือ “อำนาจ” และท้ายที่สุดการขัดแย้งยังเป็นสิ่งสำคัญของการเปลี่ยนแปลงในระบบสังคม
(สัญญา สัญญาวิวัฒน์, ๒๕๕๐, น. ๗๒-๗๖)
การวิเคราะห์ทำความเข้าใจแนวคิดในสังคมไทยนั้นน่าจะมี
๒ ขั้วหรือ ๒ แนวทาง ซึ่งเป็นเพียงความขัดแย้งของพวกนิยมระบอบทักษิณ และต่อต้านความคิดของระบอบที่เชื่อว่าเป็นอย่างนั้น
ถ้าสร้างมุมมองและความเข้าใจให้ชัดเจนมากขึ้น น่าจะกล่าวได้ว่า “ความขัดแย้งในทฤษฎี ๒ ขั้ว ย่อมปรากฏและมีอยู่จริง
นี่เป็นสิ่งที่ไม่อาจกล่าวปฏิเสธได้เลย
แต่ในท่ามกลางสถานการณ์ที่มีอยู่เช่นนี้ของปฏิปักษ์ ๒ ขั้ว ก็ยังมีสภาวะของการครอบงำเป็นบรรยากาศเกี่ยวกับแนวคิดทางประชาธิปไตยแทรกซ้อนอยู่ด้วยก็ได้
และอาจคาดหมายได้ว่า เมื่อสถานการณ์ดำเนินคืบคลานไปถึงจุดหนึ่ง
สภาวะขับเคลื่อนและโต้แย้งทางแนวคิดนี้มีโอกาสที่จะพลิกขึ้นมาเป็นปัญหาความขัดแย้งหลักในสังคมไทย
ตอนนี้สังคมไทยอาจให้ความสนใจเกี่ยวกับประเด็นที่เกี่ยวกับแผ่นดิน
ดินแดน ซึ่งกลุ่มพันธมิตรฯ ใช้ก็คือกรณีเขาพระวิหาร
สื่อต่างๆมีการหยิบยกมากล่าวอ้างโจมตีการทำงานของรัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศว่าไทยจะเสียดินแดน
และฝ่ายค้านนำมาขยายต่อความต่อในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลและรัฐมนตรี ภายนอกรัฐสภา
มีการถกเถียงวิจารณ์กันเป็นจำนวนมาก
และเป็นประเด็นหลักในการสร้างกระแสชาตินิยมขึ้น
กรณีนี้เป็นกรณีที่สามารถกระตุ้นต่อมชาตินิยมของคนไทยได้ง่ายมาก
เพราะฉะนั้นการที่หยิบเอาเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองนั้นจะนำไปสู่ความวุ่นวายอื่นๆตามมา
แนวทางอีกลักษณะหนึ่งที่ยืนพื้นและเป็นกระแสหลักต่อสู้ขับเคี่ยวกันอยู่ก็คงได้แก่
ประชาธิปไตยในลักษณะความหมายของ อำมาตยาธิปไตย (bureaucratic polity)
นี่เป็นแนวคิดที่มีศักยภาพสูงตั้งแต่ภายหลังการรัฐประหาร ๑๙ ก.ย.๕๑ (สืบค้นเมื่อ
๑๐ ก.ค.๕๑,จาก http://www.komchadluek.net) ทางฝ่ายรัฐบาลก็พยายามที่จะนำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับความชอบธรรมในเรื่องของหลักประชาธิปไตย
การเลือกตั้งต้องมาจากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนภายในประเทศ
จากความขัดแย้งดังกล่าว
ถ้าชนชั้นใดมีอำนาจและได้ตระหนักถึงผลประโยชน์แท้จริงของตนแล้ว
การขัดแย้งอย่างรุนแรงจะเกิดขึ้น (สัญญา สัญญาวิวัฒน์, ๒๕๕๐, น. ๘๒-๑๐๙)
โดยมีพื้นฐานมาจากสภาพความขัดแย้งอย่างต่อเนื่อง ในเรื่องของ “อำนาจและผลประโยชน์”
หากจะมองย้อนกลับไปดูในผลการวิเคราะห์ในช่วงต้นๆของรายงาน
จะพบว่าปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนั้น มีรากฐานมาจาก อำนาจทางการเมืองและผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ
การค้า การลงทุนเป็นสำคัญ เมื่อเกิดกระแสความขัดแย้งกันโดยมิสามารถตกลงกันได้
ทำให้เกิดการเรียกร้องจากฝ่ายต่างๆให้ผู้มีอำนาจ บารมี ในประเทศออกมาแก้ไขปัญหา
โดยจะยอมจำนนอยู่ภายใต้ระบบอำนาจ อำมาตยาธิปไตย(bureaucratic polity)
แต่ตัวแทนกลุ่มอำนาจฝ่ายทหารได้ออกมาปฏิเสธในแนวทางที่เรียกร้อง “ผมเป็นทหารของประชาชน ปัญหาที่เกิดขึ้นต้องแก้ด้วยการเมือง พล.อ.อนุพงษ์
เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ยืนยันอีกครั้งว่า จะไม่มีการปฏิวัติเกิดขึ้นแน่
ไม่ว่าจะโดยเตรียมทหารรุ่น ๑๐ หรือใครก็ตามกองทัพจะไม่ใช้การแก้ปัญหาด้วยการปฏิวัติรัฐประหารแน่นอน
เพราะไม่เป็นประโยชน์หรือผลดีต่อบ้านเมืองเลย ( สืบค้นเมื่อ ๑๑ ก.ค. ๕๑,จาก http://www.dailyworldtoday.com) การออกมายืนยันดังกล่าว
วิเคราะห์ได้ว่า
ทางกองทัพได้แสดงจุดยืนอย่างแท้จริงที่จะไม่ต้องตกอยู่ภายใต้การครอบงำทางการเมือง
และไม่สนับสนุนให้เกิดความแตกแยกในหมู่ประชาชนคนไทย
สรุป
ปัญหาความขัดแย้งในสังคมไทยเรานั้น
แท้จริงแล้วตามทัศนะของตัวผู้เขียนนั้น มีส่วนคล้อยตามทางการเมืองอยู่ คือ
อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน ต้องมีความเสมอภาคทางการเมือง
ประชาชนคือหนึ่งคนหนึ่งเสียง ปฏิเสธระบบอุปถัมภ์ฉะนั้น
การแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยก็มิใช่ประเด็นแรกสุดที่จะต้องกระทำ
โดยหวังเพียงการลดปัญหาซื้อสิทธิขายเสียงทุจริตในการเลือกตั้ง, คอร์รัปชั่นและฉ้อฉลอำนาจ
ละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนของรัฐบาลและสภาจากการเลือกตั้ง
และไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่จะปลุกปั่นเอาระบบเผด็จการอำมาตยาธิปไตย
ความเป็นไทยแบบศักดินา กลับมามีบทบาทอีกในสังคมไทย
แต่ต้องเน้นความถูกต้องของนโยบายที่เป็นที่ต้อนรับยึดมั่นของประชาชนและความสำคัญขั้นตัดสินชี้ขาดของการได้อำนาจรัฐมาอย่างชอบธรรมผ่านการเลือกตั้ง
จากการประมวลผลการวิเคราะห์ที่ผ่านมา
เมื่อนำเอาหลักทฤษฎีความขัดแย้ง มาอธิบายให้เห็นถึงความสำคัญของปัญหา
ความเป็นมาว่าแท้จริงแล้ว มูลเหตุของความขัดแย้งมิใช่ประเด็นใหม่เลย
เพียงแต่ปรับเปลี่ยนบริบททางการเมือง โดยนำเอาปัญหาที่ละเอียดอ่อน
อ่อนไหวต่อความรู้สึกนึกคิดรวมทั้งปัญหาการปลุกระดมกระแสชาตินิยม ซึ่งเหล่านี้
หรือกรณีดังกล่าวได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในสังคมไทยเรา
และอย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าบทสรุปของเรื่องปัญหาเหล่านี้จะมีจุดจบอย่างไรและในฐานะที่ผู้เขียนก็เป็นประชาชนคนไทยคนหนึ่ง
ก็มิต้องการให้ประเทศชาติลุ่มสลาย หรือการเกิดความร้าวฉานในประเทศชาติจนไม่สามารถประคับประคองตนเองได้
แล้วความเป็นรัฐชาติไทยเราจะเหลืออะไร จะก้าวไปในทิศทางไฉน
ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า
ปัญหาความขัดแย้งในสังคมไทยเราจะไม่รุนแรงถึงขั้นนองเลือดเหมือนในอดีตที่ผ่านมา
เพียงเพราะเราทุกคนเข้าใจในบทบาท หน้าที่ของพลเมืองที่ดี
มีความสามัคคีกันเพื่อที่จะฟันฝ่าอุปสรรคที่มีให้ประเทศชาติมีความเจริญรุดหน้า
เทียบเท่านานาอารยะประเทศสืบไป
วิเชียร รักการ, 2529. วัฒนธรรมและพฤติกรรมของไทย. กรุงเทพฯ
:โอเอสพริ้นติ้งเฮ้าส์.
http://www.dailyworldtoday.com)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น