วิชาสังคมวิทยา
วิชาสังคมวิทยาเป็นการศึกษาเกี่ยวกับ
·
การอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมของมนุษย์กับสังคม
·
โดยมีการสนใจพฤติกรรมทางสังคมทุกด้าน
จุดมุ่งหมายของสังคมวิทยา
-การอธิบายพฤติกรรมของมนุษย์ในสังคมเพื่อเข้าใจ “ธรรมชาติ” ของมนุษย์
-ใช้หลักวิทยาศาสตร์ค้นหาความจริง
ประโยชน์
·
เข้าใจมนุษย์ในฐานะเป็นสมาชิกของสังคม
·
เข้าใจ
“สังคม”
สังคมวิทยาศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ในสังคมซึ่งมีความสัมพันธ์กัน โดยมีสิ่งที่ทำหน้าที่ในการกำหนดความสัมพันธ์ของมนุษย์ ดังนี้
1. สถานภาพ เป็นตำแหน่งที่ได้จากการเป็นสมาชิกของกลุ่ม ประกอบด้วย
- สิทธิ
- หน้าที่
- สิ่งเฉพาะบุคคล
- กำหนดความแตกต่างของสมาชิกในสังคม
เช่น สถานภาพนิสิต ,
อาจารย์
- สถานภาพอาจจะติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด หรือ ได้มาโดยความสามารถ
2. บทบาทเป็นการปฏิบัติตามสถานภาพในสังคม
เช่น สถานภาพนิสิต
มีบทบาทเรียนหนังสือ
โครงสร้างของสังคม
โครงสร้างทางสังคมประกอบด้วย
1. สถานภาพและบทบาทของบุคคลในสังคม
2. สถาบันทางสังคม
องค์ประกอบของสถาบันทางสังคม
1. สถานที่ หรือองค์การ
2. บุคคล
3. ระเบียบข้อบังคับ
สถาบันทางสังคมหลัก 7 สถาบัน ได้แก่
1. ครอบครัว
2. การศึกษา
3. ศาสนา
4. เศรษฐกิจ
5.
การเมืองการปกครอง
6. นันทนาการ
7. สื่อสารมวลชน
การจัดระเบียบทางสังคม
การทำให้คนในสังคมอยู่รวมกัน อย่างมีระเบียบ ภายใต้แบบแผนกฎเกณฑ์เดียวกัน
สิ่งที่ใชัในการจัดระเบียบในสังคม
ได้แก่
1. ค่านิยม
- รูปแบบความคิดติดอยู่ในใจ คนส่วนใหญ ่
- เป็นแนวทางปฏิบัติ ประกอบด้วยค่านิยม
.บุคคล
.สังคม
2. บรรทัดฐาน
คือ
รูปแบบพฤติกรรมที่สังคมวางไว้
เพื่อกำหนดแนวทางให้บุคคลปฏิบัติ
3 ประเภท ได้แก่
2.1 วิถีประชา
( Folkways ) : วิถีชาวบ้าน
- ขนบธรรมเนียมประเพณีที่เป็นหลักเกณฑ์ในการดำเนินชีวิต
2.2
จารีต ( Mores ): กฎศีลธรรม
- สำคัญกว่าวิถีประชา ใครฝ่าฝืนมีความชั่ว
และ ได้รับโทษ
2.3
กฎหมาย (
laws ) :
- บทบัญญัติ
ถ้าละเมิดมีบทลงโทษ
หน้าที่ของสังคม
1. การรักษาความต่อเนื่องด้านชีวภาพของสมาชิกในสังคม
2. การขัดเกลา อบรม สั่งสอนสมาชิก (Socialization )
3. การติดต่อสื่อสาร
4.
ด้านเศรษฐกิจ
5.
จัดระเบียบ
+ รักษาความสงบ
6.
ผดุงขวัญและให้กำลังใจสมาชิก
ปัจจัยที่ทำให้สังคมแตกต่างกัน
1. ภูมิศาสตร์
2. ชีวภาพ
3. สังคมและวัฒนธรรม
วัฒนธรรม
-เป็นวิถีชีวิตของมนุษย์ในอาณาบริเวณหนึ่ง
-เป็นพฤติกรรมไม่ใช่พันธุกรรม
*จะต้องมีการเรียนรู้
-สืบทอดกันต่อไป
*โดยอาศัยมนุษย์
*ใช้สัญลักษณ์เป็นสื่อ
ลักษณะร่วมของวัฒนธรรม
1. จะต้องเรียนรู้
2. มรดกทางสังคม
3. เปลี่ยนแปลงได้
4. มีจุดจบ
/ ตาย เช่น อาณาจักรต่างๆ
องค์ประกอบของวัฒนธรรม
1.
องค์มติ
ซึ่งเป็นแนวความคิดร่วม
2.
องค์พิธีการ
3. องค์การ
4. องค์วัตถุ
หน้าที่ของวัฒนธรรม
1. สร้างมนุษย์ โดยทำหน้าที่กำหนดเป้าหมาย
2.
ควบคุมพฤติกรรมมนุษย์
สถาบันสังคมไทย
1.
สถาบันครอบครัว
2.
สถาบันการศึกษา
3. ศาสนา
4.
การเมืองและการปกครอง
.
นิติบัญญัติ
. บริหาร
. ตุลาการ , ศาล
5. นันทนาการ
6. เศรษฐกิจ
การแบ่งชั้นในสังคมไทย
การแบ่งชั้นในสังคมไทย
จำแนกโดยใช้เกณฑ์ดังต่อไปนี้
1.วงศ์ตระกูล
2. ทรัพย์สมบัติ
/ รายได้
3.
อาชีพ
4.
การศึกษา
5.
ภูมิลำเนาที่พัก
พัฒนาการของสังคมวิทยา
·
สังคมวิทยาพัฒนาขึ้นมาเป็นสาขาหนึ่งแยกจากปรัชญาสังคมกลางศตวรรษที่19
โดยเกิดขึ้นในยุโรป เนื่องจาก การเปลี่ยนแปลงมากมายจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ
นักสังคมวิทยาที่สำคัญ
·
ออกุสต์ คองต์ ( Auguste Comte ) 1798-1857
- ตั้งชื่อสังคมวิทยา
( Sociology
)
·
เฮอร์เบิร์ต สเปนเซอร์ ( Herbert Spencer )
1820-1903
- นำวิธีการทางชีววิทยาอธิบายสังคม
·
คาร์ล มาร์กซ์ ( Karl Marx ) 1818-1883
- พื้นฐานทางเศรษฐกิจมีความสำคัญต่อการดำรงอยู่และการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
- สังคมมีความขัดแย้ง
ต้องเปลี่ยนแปลงแบบปฏิวัติ
·
อีมิล เดอร์กไฮม์ ( Emile Durkheim ) 1858-1917
- สมาชิกในสังคมอยู่เป็นระเบียบได้
: ความเชื่อ+ค่านิยมร่วมกัน
เป็นระเบียบของสังคม
- ส่วนต่างๆของสังคม มีหน้าที่ ( function )
ต่อการดำรงอยู่ของสังคมโดยส่วนรวม
- การฆ่าตัวตายของคนกลุ่มต่างๆขึ้นกับพลังทางสังคม
·
แมกซ์ เวเบอร์ ( Max Weber ) 1864-1920
- ให้ความสำคัญกับพฤติกรรมของบุคคล
- ความคิด ( Idea ) เป็นปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลง
ทฤษฏีหลักของสังคมวิทยา
1. ทฤษฏีหน้าที่
( Functionalism
)
การพิจารณาส่วนต่างๆของสังคมแต่ละส่วน เช่น
ครอบครัว ศาสนา การเมือง
โดยศึกษาถึงหน้าที่ของส่วนต่างๆมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันเป็นสังคมทั้งหมดอย่างไร
2. ทฤษฏีความขัดแย้ง
(Conflict
Theory )
- สังคมประกอบด้วยสมาชิกที่แบ่งแยกออกเป็นชนชั้นต่างๆ
- มีความสัมพันธ์ในลักษณะการถูกเอารัดเอาเปรียบ
โดยมีผู้ที่เอารัดเอาเปรียบและผู้ที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ
- สังคมเป็นระบบที่มีความขัดแย้งตลอดเวลา
3. ทฤษฏีการกระทำตอบโต้
(
Interactionism )
- ความสัมพันธ์ต่อกันของคนในสังคมเป็นกระบวนการตอบโต้ซึ่งกันและกัน
- มีความผันแปรอยู่เสมอตามสถานการณ์
- บุคคลเป็นผู้สร้าง หรือ กำหนดการกระทำ ไม่ใช่ถูกกำหนดโดยโครงสร้างทางสังคม
สังคมวิทยาในศตวรรษที่
19 : ยุโรป
- สนใจศึกษาสังคมใหญ่ทั้งสังคม
- เพื่อเข้าใจระเบียบกฎเกณฑ์
+ การเปลี่ยนแปลงทางสังคม
- เสนอทฤษฏีกว้างๆ
สังคมวิทยาในศตวรรษที่
20 : สหรัฐอเมริกา
- สนใจศึกษาปัญหาสังคมเฉพาะด้าน
- สนปัญหาในทางปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
ความสัมพันธ์ระหว่างสังคมวิทยา สังคมไทย
1.โครงสร้างทางสังคม
- ธรรมชาติมนุษย์
: รวมกลุ่ม + ความสัมพันธ์
สังคมไทยมีการรวมกลุ่มกันของหลายชนชั้นในอดีต
มีความสัมพันธ์แบบเป็นกันเอง มีความเป็นอยู่ที่มีการเกื้อกูลกัน
2.เศรษฐกิจ
- วัตถุ
เกิดชนชั้น
ระบบเศรษฐกิจของไทย
ก่อให้เกิดความต้องการทางด้านวัตถุและชนชั้นมาเป็นเวลานาน
ดังจะเห็นได้จากระบบขุนมูลนาย ระบบไพร่ทาส ในอดีต
และระบบทุนนิยมในปัจจุบันที่ก่อให้ค่านิยมในด้านวัตถุ
การให้ความสำคัญและเคารพนับถือผู้ที่มีฐานะทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญ
3.ความเชื่อเกี่ยวกับธรรมชาติ
สังคมไทยในอดีตมีความเชื่อเกี่ยวกับธรรมชาติว่าเป็นสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้
สังคมไทยในอดีตจึงมีการใช้ชีวิตที่กลมกลืนกับธรรมชาติมากกว่าการเอาชนะธรรมชาติ
- ซึ่งความเชื่อของคนไทยได้แสดงออกในด้านศาสนาและไสยศาสตร์หรือพิธีกรรมควบคู่กันไป
เป็นสิ่งที่ควบคุมมนุษย์ให้อยู่ร่วมกัน
และเป็นที่มาของอำนาจ
โดยมีการกำหนดเป็นบรรทัดฐานร่วมกันจากความเชื่อในธรรมชาติที่ไม่สามารถควบคุมได้ อาทิ
-
ครอบครัว :
ผีเรือน
- ชุมชน,หมู่บ้าน
:
เสื้อบ้าน,หลักบ้าน
- รัฐ : กษัตริย์ ( เทวราช,สมมติราช )
ลักษณะสังคมไทยในอดีต
1. เชื่อในสิ่งนอกเหนือธรรมชาติ
ความผูกพันในชีวิตและวัฒนธรรมคนไทย
-
ดินฟ้าอากาศควบคุมไม่ได้
-
ธรรมชาติมีจิตวิญญาณให้คุณให้โทษ
- ประชากรหลายเผ่าพันธุ์
นำไปสู่การบูรณาการทางวัฒนธรรม
2. การปกครอง หรือ ประชาธิปไตย
- ผู้นำ ผู้ปกครอง มีบุญ
ยอมรับข้อขัดแย้ง ทำให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข
นอกจากนี้ยังนำไปสู่ ระบบอุปถัมภ์
ในปัจจุบัน
ลักษณะสำคัญของสังคมและวัฒนธรรมไทย
เอกลักษณ์ไทย
1.
ยกย่องเทิดทูนพระมหากษัตริย์
2.
สังคมพุทธ
โดยแฝงความเชื่อวิญญาณ
+ ลัทธิพราหมณ์
3.
ยึดครอบครัว
+ เครือญาติ
4. สังคมเสรี มีน้ำใจ
สนุกสบาย
คนไทย = ผู้มีจิตใจยิ่งใหญ่
เสรี
+ ไม่เป็นรองใคร
5. พื้นฐานเศรษฐกิจ
เกษตรกรรม
6. ยกย่องผู้มีความรู้
ความสามารถ
7. ความงดงามอ่อนช้อยของศิลปะไทย
8. เมืองหลวง เป็นศูนย์กลางวัฒนธรรม , ความรุ่งเรือง
นำไปสู่ปัญหาต่าง
ๆ
การเปลี่ยนแปลงทางสังคม
สาเหตุ
. ในระบบ .นอกระบบ
การเปลี่ยนแปลงสังคมวัฒนธรรมไทย
การเปลี่ยนแปลงสังคมและวัฒนธรรมไทย
ประกอบด้วย
. ขนาดกลุ่มคน
. โครงสร้างสังคม
. วัฒนธรรม + พฤติกรรม
การเปรียบเทียบค่านิยมไทย และ
ตะวันตก
ดั้งเดิมไทย ตะวันตก
1.นับถือบุคคล 1.นับถือหลักการ
2. นิยมความสนุกสนาน 2.นิยมทำงานหนัก
3.ใช้จ่ายทรัพย์ปัจจุบัน 3. ออมทรัพย์เพื่อลงทุน
4. ทำบุญให้ทาน 4.ไม่นิยมให้ + ขอ
5.นิยมทางสายกลาง 5.ความรุนแรง
+ เข้มงวด
6.ถือตนเองเป็นสำคัญ 6.ถือกฎหมาย +ระเบียบ
การยอมรับแนวคิดของตะวันตก ( พ.ศ. 2505 )
-
การเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองให้ทันสมัย (แผนพัฒนาเศรษฐกิจ สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชน์)
กระตุ้นให้เกิดความต้องการด้านวัตถุ
-
อิทธิพลของการศึกษามีเหตุผลเป็นวิทยาศาสตร์
ควบคุมสภาพแวดล้อม +
จักรวาลด้วยเทคโนโลยี
เกิดความขัดแย้งความเชื่อทางศาสนา + การทำตัวให้กลมกลืนกับธรรมชาติ
+
จักรวาลหายไป
วิกฤตเศรษฐกิจทุนนิยมเสรีครอบงำประเทศ
1.
ช่องว่างการแย่งทรัพยากรระหว่างกลุ่มบุคคล
2.
การทำลายสภาพแวดล้อม + ระบบนิเวศน์
3.
การโยกย้ายถิ่นฐาน
4.
การฆ่าตัวเองทางวัฒนธรรม
เดิม
โครงสร้างสังคม
|
ใหม่
โครงสร้างทางสังคม
|
-
ความสัมพันธ์พี่น้อง เครือญาติ มิตร
-
เคารพผู้อาวุโส
-
เป็นกันเองอย่างเสมอภาค
|
-
ความสัมพันธ์ความแตกต่าง
ชนชั้นสูง-ต่ำ
พิจารณาจากฐานะทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญ
-
ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ที่มั่งคั่ง
และมีอำนาจกับผู้ที่ต้องพึ่งพาอาศัย
|
5.
เกิดกลุ่มผลประโยชน์ที่ขัดแย้ง ซึ่งยุติโดยวิถีทางการเมือง
6.
การบิดเบือนกฎหมายบ้านเมืองขาดความเป็นธรรม
สังคมที่ละเมิด
ท้าทายกฏหมาย
7. ปัจเจกบุคคลสุดโต่ง ค่านิยมทางวัตถุ
8.
คุณค่าในความเป็นมนุษย์น้อยลง
9.
ความเชื่อในทางศาสนา คุณธรรม
ศีลธรรมหมดไป หรือลดน้อยลง
พฤติกรรมเบี่ยงเบน + อาชญากรรมมากขึ้น
ขัดแย้ง : คนรวย
อำนาจมาก มีทัศนคติที่จะต้องเป็นผู้ที่ได้เสมอ
ในขณะที่คนจน
ไม่ยอมรับความจน ต่ำต้อยอีกต่อไป
โดยอาจหันไปกระทำผิดเพื่อเป็นที่ยอมรับในสังคมมากขึ้น
ตามค่านิยมของสังคมที่ให้ความสำคัญต่อวัตถุนิยม
10.
คนในสังคมถูกหล่อหลอมจากลัทธิความเชื่อทุนนิยมเสรี
ปัญหาสังคมไทย
จากการเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคมไทย อาทิ
การเน้นการพัฒนาประเทศโดยดังได้กล่าวข้างต้น โดยเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรม
และการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ ตลอดจนการรับแนวคิด ค่านิยมของตะวันตก
โดยไม่ได้มีการปรับให้เหมาะสมกับสภาพของสังคมไทยอย่างแท้จริง
ก่อให้ประเทศไทยต้องประสบปัญหาสังคมมากมาย ดังนี้
1.การเปลี่ยนแลงทางเทคโนโลยี
+ สังคม
ก่อให้เกิดปัญหาการปรับตัว
ภาวะความแปลกแยก
.
สิ้นหวัง
.
สังคมที่เต็มไปด้วยคนที่มีกิเลส
และความต้องการด้านวัตถุ
. ความเหลื่อมล้ำที่ไม่เท่าเทียมกันและความยากจน
. ปัญหาคุณภาพชีวิต
. การอพยพย้ายถิ่นของคน
จากชนบทมาสู่สังคมเมือง
. ปัญหาการว่างงาน
. ปัญหาการเพิ่มของประชากร
. สภาวะแวดล้อมเสื่อมโทรม
. อุบัติเหตุ
อุบัติภัย
. ผู้สูงอายุถูกทอดทิ้ง
. ชุมชนแออัด
. ความไม่เป็นระเบียบของสังคม
. ปัญหาโสเภณี
. ปัญหายาเสพติด
. วิกฤตนักโทษล้นคุก
. ปัญหาการขาดสิ่งยึดเหนี่ยวทางใจ
. ปัญหาศีลธรรม
. ปัญหาเศรษฐกิจ
. ปัญหาสุขภาพอนามัย
เช่น เอดส์
.
ปัญหาพฤติกรรมเบี่ยงเบน และปัญหาอาชญากรรม
ปัญหาดังกล่าวข้างต้นล้วนแล้วแต่ทำให้สังคมขาดความเป็นระเบียบ
คนในสังคมขาดความสุขในการดำเนินชีวิตอย่างแท้จริง
อันเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาทรัพยากรบุคคล และการพัฒนาประเทศอย่างแท้จริง
สรุปได้ว่า
สังคมวิทยา พฤติกรรมเบี่ยงเบนและอาชญากรรม จึงมีความสัมพันธ์กัน
.
สังคมวิทยา
ศึกษาสังคม และพฤติกรรมของมนุษย์ในสังคมที่อยู่ร่วมกัน
โดยมีบรรทัดฐานในการกำหนดการปฏิบัติ หรือพฤติกรรมของคนในสังคม
ซึ่งหากมีสมาชิกในสังคมมีการละเมิดบรรทัดฐาน พฤติกรรมดังกล่าว เรียกว่า
พฤติกรรมเบี่ยงเบน
ซึ่งจะมีลักษณะของการละเมิดบรรทัดฐานเพียงเล็กน้อยไม่มีความรุนแรง
ไปจนกระทั่งการละเมิดกฎหมาย ซึ่งเรียกว่า อาชญากรรม
ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวจะทำให้สังคมขาดความเป็นระเบียบนำไปสู่ปัญหาต่างๆ
อันเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาความเจริญก้าวหน้าของสังคม
เอกสารอ้างอิง
จำนงค์ อดิวัฒนสิทธิ์และคณะ. สังคมวิทยา.กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณ์ ราชวิทยาลัย, 2532.
นิธิ เอียวศรีวงศ์ และคณะ. มองอนาคตบทวิเคราะห์เพื่อปรับเปลี่ยนทิศทางสังคมไทย.
กรุงเพมหานคร:บริษัทอัมรินทร์ พรินติ้งกรุ๊ปจำกัด,2536.
สุพัตรา สุภาพ. สังคมวิทยา. กรุงเทพมหานคร : ไทยวัฒนาพานิช จำกัด,2540
*********************
พฤติกรรมเบี่ยงเบน
ความหมายของพฤติกรรมเบี่ยงเบน
สำหรับความหมายของพฤติกรรมเบี่ยงเบน
อาจมีการให้ความหมายที่แตกต่างกัน อาทิ
·
พฤติกรรมที่แตกต่างไปจากพฤติกรรมของคนส่วนใหญ่ในสังคม
·
พฤติกรรมที่แตกต่าง หรือเป็นพฤติกรรมที่ละเมิดบรรทัดฐานของสังคมที่ได้กำหนดไว้
·
พฤติกรรมที่คนในสังคมเห็นว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
1 ).
Bicsanz and bicsanz
|
พฤติกรรม หรือความประพฤติที่ขัดแย้งกับบรรทัดฐานของกลุ่ม
|
หรือสังคมส่วนรวมซึ่งหากมีการฝ่าฝืนบรรทัดฐานดังกล่าวจะได้รับการลงโทษ
|
2 ). ดร.เสริน ปุณณะหิตานนท์
|
1. การไม่ปฏิบัติตามบรรทัดฐาน
/ กฏเกณฑ์ที่ถือปฏิบัติ
|
2. ความประพฤติที่คนในกลุ่มหนึ่ง พิจารณาว่าน่าอาย/บาดหูบาดตา ต้องการจัดการผู้กระทำผิดมาลงโทษ
|
3. พฤติกรรมที่คนบางพวกในสังคมหนึ่ง ๆ เห็นว่าเป็นการกระทำที่ผิด
น่ารังเกียจ หรือบาดหูบาดตา/ และเป็นการกระตุ้นหรือเร้า
(หรือจะกระตุ้นถ้ามีคนพบเห็นเข้า) ให้คนเหล่านั้นแสดงความไม่พอใจ โกรธ
เกลียด ประนาม หรือ ต้องการลงโทษผู้กระทำ
|
อย่างไรก็ตาม สำหรับความหมายของพฤติกรรมเบี่ยงเบนตามความหมายของทฤษฎีหลักทางสังคมวิทยา
สามารถอธิบายได้ 3 ความหมายคือ
1.
ทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่ Structural-Functional Analysis
พฤติกรรมเบี่ยงเบน
คือ พฤติกรรมที่เป็นการละเมิดบรรทัดฐานของสังคม อันทำให้สังคมเสียระเบียบ โครงสร้างหน้าที่ต่าง
ๆ ในสังคมไม่สามารถกระทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ อันอาจนำไปสู่ปัญหาในสังคมต่อไป
โดยมีนักสังคมวิทยาที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีนี้
ได้แก่
Emile
Durkheim
เห็นว่าพฤติกรรมเบี่ยงเบนไม่ได้ก่อให้เกิดผลเสียต่อสังคมเพียงด้านเดียว
หากแต่ยังก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมด้วย ดังนี้
1.
เกี่ยวข้องกับค่านิยม วัฒนธรรม
และบรรทัดฐาน
ทำให้คนในสังคมเห็นคุณค่าบรรทัดฐาน
2.
กำหนดด้วยศีลธรรม
3.
ทำให้เห็นถึงความเป็นหนึ่งเดียวของสังคม
4.
นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงในสังคม
Kai
Erikson :
-
พฤติกรรมเบี่ยงเบนที่เปลี่ยนแปลง =
สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง
-
คนในสังคมเป็นคนกำหนดพฤติกรรมเบี่ยงเบน
Merton’
Strain Theory
-
พฤติกรรมเบี่ยงเบน
เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากความกดดันในการดำเนินชีวิต
ไปสู่เป้าหมายในชีวิตที่สังคมกำหนดค่านิยมไว้
-
ความขัดแย้งระหว่าง
เป้าหมาย + วิถีทาง
Anomie
พฤติกรรมเบี่ยงเบน
-
พฤติกรรมเบี่ยงเบนจำนวนเท่าใดเกิดจากความกดดัน
-
คนป่วยทางจิต , เพศ อธิบายไม่ได้
-
ความกดดันเกิดจากเหตุผลมากมาย
-
ค่านิยม ความสำเร็จแต่ละสังคมต่างกัน
Deviant
Subcultures : Richard Cloward, Lloy Ohlin
-
พฤติกรรมเบี่ยงเบนไม่ได้เกิดจากการขาดโอกาส
-
เกิดจากวัฒนธรรมรองที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรม
Albert
Cohen
-
วัฒนธรรมรองก่อให้เกิดพฤติกรรมเบี่ยงเบนมักจะเกิดในชนชั้นล่าง
Walter
Miller
-
ค่านิยมที่ทำให้เกิดพฤติกรรมเบี่ยงเบนไม่ได้เกิดจากการต่อต้านวิถีชีวิตของชนชั้นกลาง
-
แต่เกิดจากประสบการณ์ที่ด้อยโอกาสในสังคม
-
วัฒนธรรมรองที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมเบี่ยงเบน ได้แก่
touble,
toughness,smartness,excitement,fate,autonomy
ข้อจำกัดของ Structural-Functional Analysis
1. การกำหนดขอบเขตของพฤติกรรมเบี่ยงเบนจากบรรทัดฐานสังคม(Norms)เท่านั้น
โดยการกำหนดว่าสังคมมีเพียงบรรทัดฐานเดียวในการกำหนดความประพฤติ
2. สมมติฐานที่ว่าพฤติกรรมเบี่ยงเบนเกิดขึ้นใน
กลุ่มคนยากจนเป็นจุดอ่อนของทฤษฎีวัฒนธรรมรอง
3. ผู้มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนเป็นผู้ละเมิดบรรทัดฐานของสังคมอาจไม่ครอบคลุมพฤติกรรมเบี่ยงเบนทั้งหมด
2.
ทฤษฎีปฏิสัมพันธ์เชิงสัญลักษณ์ Symbolic-Interaction
Analysis
พฤติกรรมเบี่ยงเบนเป็นกระบวนการทางสังคม กล่าวคือ เป็นพฤติกรรมที่คนในสังคมร่วมกันกำหนดว่าพฤติกรรมใดเป็นพฤติกรรมเบี่ยงเบน
โดยมีการตีตราคนในสังคมที่มีพฤติกรรมดังกล่าว และสังคมมีกระบวนการตอบโต้ต่อผู้ที่มีพฤติกรรมดังกล่าว
-
พฤติกรรมเบี่ยงเบนเป็นกระบวนการทางสังคม
ซึ่งมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับ
ทฤษฏีตีตรา Labeling Theory
-
เป็นพฤติกรรมจากการกระทำ + สังคมมีปฏิกริยาโต้ตอบ,กำหนด
นักสังคมวิทยาที่มีความเกี่ยวข้องกับทฤษฎีนี้
ได้แก่
Edwin
Lemert :
-
primary deviant
พฤติกรรมที่แสดงออกขั้นต้น
(ไม่ตั้งใจ)
-
secondary deviant
พฤติกรรมเบี่ยงเบนขั้นสูง โดยมีการยอมรับพฤติกรรมเบี่ยงเบนดังกล่าว
ตลอดจนการคบหาสมาคมกับคนที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบน
Erving
Goffman : stigma
- secondary
deviant จะมีการพัฒนาเป็น
deviant career
-
ขึ้นอยู่กับความถี่ในการได้รับ “ ตราบาป”
ตีตรา
- เปลี่ยนทัศนะคติ
จุดอ่อนของ Symbolic-Interaction Analysis
1. ทำไมสังคมจึงกำหนดพฤติกรรมบางอย่างเบี่ยงเบน
และบางอย่างไม่เบี่ยงเบน
2. ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการมองพฤติกรรมการกระทำ
เป็นหลัก แต่มองพฤติกรรมที่คนในสังคมกำหนดใน การรับรู้ต่อพฤติกรรมเบี่ยงเบน
3. สมมติฐานที่ว่าทุกคนในสังคมต่อต้านพฤติกรรมเบี่ยงเบน
4. การขาดผลการวิจัยพฤติกรรมการตอบโต้ของคนในสังคม
ต่อผู้มีพฤติกรรมเบี่ยงเบน
3.ทฤษฎีความขัดแย้งทางสังคม Social Conflict Analysis
พฤติกรรมเบี่ยงเบน คือ
พฤติกรรมที่เกิดขึ้นในสังคมอันเนื่องมาจากความขัดแย้งในสังคม โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างชนชั้นทางสังคม
พฤติกรรมเบี่ยงเบนเป็นพฤติกรรมที่ถูกกำหนดจากผู้ที่มีอำนาจ หรือมีสถานภาพทางสังคมสูง
Deviant
+ Power
- คนมีอำนาจน้อย คือ ผู้ที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบน
1.
บรรทัดฐานกำหนดจากผู้มีอำนาจในสังคม
มีผลต่อผู้มีสถานภาพต่ำ
2.
ถ้าผู้มีอำนาจมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
จะใช้อำนาจตีตราผู้อื่น
3.
กฎหมาย + บรรทัดฐานไม่เคยยุติธรรม
- การกำหนดพฤติกรรมเบี่ยงเบนโดย
- เจ้าของทุน
- ผู้ว่าจ้างแรงงาน
- ผู้มีอำนาจ
- ชนชั้นสูง
จุดอ่อนของ Social-Conflict Analysis
1. ให้ความสำคัญกับอำนาจและความไม่เท่าเทียมกันในสังคมเท่านั้น
-ไม่สามารถอธิบายได้ว่าพฤติกรรมเบี่ยงเบนกำหนดขึ้นมาได้อย่างไรและมีการควบคุมอย่างไร
2.
สมมติฐานที่ว่าคนรวยและมีอำนาจเป็นผู้สร้างและควบคุมบรรทัดฐาน
นำไปสู่ความสงสัยต่อกระบวนการทางการเมือง
เพราะในความเป็นจริงการเมืองของหลายประเทศมาจากระบอบประชาธิปไตย
ซึ่งคนส่วนใหญ่เป็นผู้มีส่วนร่วมทางการเมือง
3.
สรุปความเสียหายระหว่างอาชญากรรมคอปกขาว มีความเสียหายมากกว่าอาชญากรรมทั่วไปมาก
4.
ความไม่เท่าเทียมเท่านั้นที่ทำให้เกิดพฤติกรรมเบี่ยงเบน
หากแต่ในสังคมพฤติกรรมเบี่ยงเบนมีหลายประเภทแตกต่างกันไป
พฤติกรรมเบี่ยงเบนทางสังคมศาสตร์
พฤติกรรมเบี่ยงเบนทางด้านสังคมศาสตร์ สามารถสรุปได้ตามทฤษฎีหลักทางด้านสังคมศาสตร์
ดังนี้
1. พฤติกรรมที่มีความเกี่ยวข้องกับการละเมิดบรรทัดฐาน(Norms)
:Structural-Functional Analysis
2. พฤติกรรมที่ขึ้นอยู่กับบุคคลในสังคมเป็นผู้กำหนด
เป็นการตีตราการกระทำของคนในสังคม
: Symbolic-Interaction Analysis
3.
บรรทัดฐานและพฤติกรรมที่สังคมกำหนด มีความสำคัญกับอำนาจทางสังคม(Social power)
:Social-Conflict Analysis
สรุป : พฤติกรรมเบี่ยงเบน คือ
|
·
พฤติกรรมที่มีความขัดแย้ง หรือ แตกต่างไปจากบรรทัดฐานในสังคม
|
·
โดยกลุ่มคนในสังคมเห็นว่าผิด หรือแตกต่างจากคนทั่วไป
|
·
โดยมีรูปแบบของพฤติกรรมที่แตกต่างจากกลุ่มคนส่วนใหญ่
*เพียงเล็กน้อยไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสังคม
|
*จนกระทั่งพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสังคมส่วนรวมอย่างรุนแรง
|
·
ผู้มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนได้รับโทษ
|
-ไม่เป็นทางการ โดยได้รับโทษเล็กน้อย
|
-เป็นทางการ โดยได้รับโทษทางกฎหมาย
|
ประเภทของพฤติกรรมเบี่ยงเบน
- Bicsanz and Bicsanz
ได้แบ่งพฤติกรรมเบี่ยงเบนไว้ดังนี้
1.
ความประพฤติไม่เหมาะสม ( Improper )
2.
การเป็นปรปักษ์ต่อผู้อื่น ( amtisocial
behavior )
3.
ทำลายตัวเอง (Self destructive )
4.
ละเมิดกฎศีลธรรม ( Immoral )
5.
ทำลายสังคม ( Destructive to the society )
6.
ความผิดปกติของร่างกาย
- ดร.จำนง อภิวัฒนสิทธิ์ และคณะ
ได้แบ่งพฤติกรรมเบี่ยงเบนไว้ดังนี้
1.การกระทำเบี่ยงเบน
( deviant acts ) เช่น การฆ่าตัวตาย การก่ออาชญากรรม
2.นิสัยเบี่ยงเบน ( deviant habits ) เช่น เหล้า การพนัน
3.จิตเบี่ยงเบน ( deviant psychology )
4.วัฒนธรรมเบี่ยงเบน
( deviant culture ) เช่น ฮิปปี้
- Clinard
ได้แบ่งประเภทของพฤติกรรมเบี่ยงเบนไว้ดังนี้
1.
อาชญากรรมและการกระทำผิดของเด็กและเยาวชน
2.
พฤติกรรมรักร่วมเพศ
3.
โสเภณี . เด็ก .ผู้ชาย
4.
การติดยาเสพติด
5.
การติดสุราเรื้อรัง
6.
ความผิดปกติทางจิต
7.
การฆ่าตัวตาย
8.
ความขัดแย้งในบทบาทของภาวะครอบครัว
9.
ความขัดแย้งในบทบาทและฐานะวัยชรา
10. ความมีอคติต่อชนกลุ่มน้อย
ลักษณะบางประการของพฤติกรรมเบี่ยงเบน
1. พฤติกรรมธรรมดาและ มีทุกสังคม
2. เกณฑ์การตัดสินพฤติกรรมเบี่ยงเบน
o
ขึ้นกับบรรทัดฐาน ค่านิยม แต่ละสังคม
o
ขึ้นกับกาลเวลา
o
ขึ้นกับสถานการณ์
3.บางสังคมมองว่าเป็นพฤติกรรมเบี่ยงเบน
บางสังคมมองว่าเป็นพฤติกรรมปกติ
4.พฤติกรรมเบี่ยงเบนแต่ละประเภท
รุนแรงไม่เท่ากัน + โทษไม่เท่ากัน
5.พฤติกรรมเบี่ยงเบนบางอย่างเป็นปัญหาสังคม
6.การเกิดพฤติกรรมเบี่ยงเบน
ไม่ตั้งใจ : เจตนา
7.พฤติกรรมเบี่ยงเบนถ้าไม่มีใครรู้เห็นไม่รู้สึกว่ากำลังมีพฤติกรรมเบี่ยงเบน
Ex. ฝ่าฝืนสัญญาณจราจร
8.ทุกคนเคยมีพฤติกรรมเบี่ยงเบน
9.พฤติกรรมเบี่ยงเบนบางอย่างอาจได้รับการยอมรับ/ปฏิบัติแพร่หลายในเวลาต่อมา
10.พฤติกรรมเบี่ยงเบนก่อให้เกิด
โทษ , ผลเสีย : ประโยชน์ , ผลดี
11.มักมีการรวมกลุ่มของผู้มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนเดียวกัน
12.ความเปลี่ยนแปลงบางประการซึ่งนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่สังคม
Ex. การปฎิวัติ
|
ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมเบี่ยงเบนและพฤติกรรมอาชญากร
* พฤติกรรมเบี่ยงเบน
|
- คนในสังคมกำหนด มีบทลงโทษ
|
- ไม่เป็นทางการ และ
เป็นทางการ
|
* พฤติกรรมอาชญากร
|
- คนในสังคมกำหนด
โดยมีบทลงโทษ
|
*
ที่บัญญัติไว้ใน เป็นทางการ
|
* กฎหมายอาญาบ้านเมือง
|
* เป็นลายลักษณ์อักษร
|
- ไม่เป็นทางการ และ
เป็นทางการ
|
****
ความหมายของทฤษฎีสังคมวิทยา
|
สัญญา สัญญาวิวัฒน์
(2536 : 2) อธิบายว่า ทฤษฎีสังคมวิทยา
คือ ทฤษฎีวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางสังคม กล่าวคือ เป็นคำอธิบาย
การเกิดขึ้น การดำรงอยู่ ลักษณะการเปลี่ยนแปลง และการเสื่อมสลายไปของความสัมพันธ์ทางสังคม
ตลอดจนการอธิบายปรากฎการณ์ทางสังคม เช่น ครอบครัวแตกแยก
การแข่งขันระหว่างกลุ่มสังคม พฤติกรรมทางสังคม ปัญหาสังคม ด้วยความสัมพันธ์ทางสังคม
นักสังคมวิทยาส่วนใหญ่จะมีกรอบแนวคิดพื้นฐานที่ใช้ในการอธิบายสังคม หรือมองสังคม (Image of society) 3ทฤษฎีหลัก ดังนี้
1. ทฤษฎีโครงสร้าง-หน้าที่
(Structural-functional theory)
2. ทฤษฎีการขัดแย้ง (Conflict theory)
3. ทฤษฎีการกระทำระหว่างกันด้วยสัญลักษณ์
(Symbolic interaction theory)
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น