หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

มโนมอบพระผู้ เสวยสวรรค์ แขนมอบถวายทรงธรรม์ เทิดหล้า ดวงใจมอบเมียขวัญ และแม่ เกียรติศักดิ์รักของข้า มอบไว้ แก่ตัว

 การจัดการศึกษาไทย ที่กำลังทำให้คนจำต้องสูญเสียคุณค่าและความหมายของชีวิตตัวเองชัดเจนยิ่งขึ้น !
ฉันนึกถึงโคลงสี่สุภาพบทหนึ่ง ซึ่งคนในอดีตได้ร้อยกรองเอาไว้อย่างไพเราะ
จับใจว่า
มโนมอบพระผู้ เสวยสวรรค์
แขนมอบถวายทรงธรรม์ เทิดหล้า
ดวงใจมอบเมียขวัญ และแม่
เกียรติศักดิ์รักของข้า มอบไว้ แก่ตัว
โคลงบทนี้ สำหรับผู้ที่มีวิญญาณความรักหยั่งรู้ความจริงจากพื้นดินได้อย่างลึกซึ้ง ย่อมเข้าใจความหมายคุณค่าของการดำเนินชีวิตได้อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน
มโนมอบพระผู้ เสวยสวรรค์ หากพิจารณาชีวิตเราแต่ละคนให้รู้ซึ้งถึงความจริง น่าจะพบได้ว่า ทุกคนมีจิตใจเป็นสิ่งกำหนดวิถีทาง ที่มุ่งไปพบความสุขได้เองอย่างอิสระ
ดังนั้น วรรคแรกของโคลงบทนี้จึงน่าจะหมายถึง การดำเนินชีวิตที่มอบความจริงจากใจตนเองให้กับเพื่อนมนุษย์ทุกคน ช่วยให้มีความสุขอย่างล้ำลึก คำว่า สวรรค์ น่าจะหมายถึง ความสุขอันเกิดจากรากฐานจิตใจที่อิสระถึงระดับหนึ่งแล้ว
แขนมอบถวายทรงธรรม์ เทิดหล้า หมายถึงชีวิตที่เกิดมาแล้ว ควรมุ่งมั่นทำงานด้วยมือและเท้าทั้งสองข้างจากรากฐานจิตใจตนเองอย่างเป็นธรรมชาติ ความหมายของข้อความที่ว่า มอบถวายทรงธรรม์ เทิดหล้า ควรหมายถึงการทำอย่างดีที่สุดโดยที่อีกด้านหนึ่ง มีการละลดภาวะยึดติดอยู่กับสิ่งซึ่งตนมีโอกาสสัมผัส ทั้งนี้และทั้งนั้นเนื่องจากรู้ว่า ทุกคนควรมีโอกาสเรียนรู้สิ่งที่ปรากฏหลากหลายอยู่ในโลก จึงจะช่วยให้ตนสามารถเข้าใจถึงความจริงได้อย่างลึกซึ้ง
ลึกซึ้ง
ดวงใจมอบเมียขวัญ และแม่ ความประโยคนี้น่าจะหมายถึงการให้ความรักความจริงใจแก่กันและกัน เริ่มต้นจากผู้ให้กำเนิด สานถึงผู้ที่อยู่ใกล้ชิดตน แต่ก็ใช่ว่าจะยึดติดอยู่เพียงแค่ผู้ใกล้ชิดซึ่งเป็นด้านรูปแบบไม่
หากรากฐานจิตใจอิสระ ช่วยให้สามารถรู้ความจริงทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างลึกซึ้ง หลังจากการปฏิบัติ ร่วมกับวิถีชีวิตซึ่งเติบโตยิ่งขึ้น ย่อมมีผลช่วยให้กระจายกว้างขวางออกไปอย่างรู้เหตุรู้ผล
ปกติแล้ว ถ้าสภาพการเปลี่ยนแปลงของสังคมไม่ส่งผลทำให้เกิดภาวะสับสนจนกระทั่งรากฐานความคิดคนจับต้นชนปลายไม่ติด หรืออาจกล่าวว่า มองข้ามต้นเหตุไปเน้นความสำคัญอยู่ตรงปลายด้านเดียว ปัญหาความขัดแย้งระหว่างตัวเองกับผู้ที่อยู่ใกล้ชิด ย่อมไม่มีผลรุนแรงจนถึงขั้นไม่อาจควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ได้
เช่นที่คนแต่ก่อนเคยกล่าวไว้ว่า ความขัดแย้งเป็นเรื่องธรรมดา หลังจากปรับความเข้าใจเข้าหากันได้ ย่อมทำให้แต่ละสิ่งสามารถดำเนินไปได้โดยเรียบร้อย
แม้ระหว่างสามีกับภรรยา รวมถึงบุตรหลานผู้อยู่ใกล้ชิด ความรู้สึกซึ่งคนยุคก่อนเคยกล่าวฝากไว้ว่า ลูกหลานคนอื่น ก็เหมือนลูกหลานตน แทนที่จะคิดว่า ลูกหลานตัวเองสำคัญเหนือลูกหลานคนอื่น อย่างที่พบเห็นเป็นส่วนใหญ่อยู่ในขณะนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสามารถเห็นได้ชัดเจนในสังคมคนเมืองแม้ในกลุ่มคนที่รวมกันทำงาน ซึ่งควรรู้ได้ว่า คือรูปแบบหนึ่งที่อยู่บนพื้นฐานอุดมการณ์ของครอบครัวด้วยเช่นกัน มีการเล่นพรรคเล่นพวกเกิดขึ้นภายในกลุ่มดังจะพบได้ทั่วไปในปัจจุบัน ส่วนผู้ซึ่งมุ่งมั่นทำงานโดยไม่ยอมตกเป็นพวกใคร ย่อมถูกแรงกดดันทำให้รู้สึกเดือดร้อนหนักมากยิ่งขึ้น
จากภาวะสับสนดังกล่าว ทำให้เกิดการสูญเสียสมดุล หลังจากเวลาผ่านพ้นมาแล้ว บางรายก็ไม่นานนัก แม้บางรายอาจนานมากหน่อย ในที่สุดย่อมทำให้รากฐานความคิดแยกห่างออกจากกัน จนกระทั่งประคับประคองกันต่อไปได้ยาก
อนึ่ง ใคร่ขอชี้ให้เห็นความจริงว่า ความรู้ความเข้าใจที่มองไปยังความหมายของครอบครัว หาใช่จำกัดกรอบตัวเองไว้เพียงกลุ่มบุคคลซึ่งมีสามี-ภรรยา และบุตรเท่านั้น หากควรรู้ความจริงว่า การรวมกลุ่มคนไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ หากเห็นว่าจิตใจมีความสำคัญเหนืออื่นใด ย่อมรู้ว่าการรวมกลุ่มทุกรูปแบบคือครอบครัวทั้งนั้น
คำว่าครอบครัว แม้จะถือเป็นหน่วยเล็กที่สุดของการรวมกลุ่ม แต่มีความสำคัญมากที่สุด โดยเหตุที่ความจริงได้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ส่วนเล็กที่สุดซึ่งมีจำนวนมากที่สุดถือเป็นพื้นฐานสำคัญของส่วนใหญ่
หากรู้ความจริงได้ว่า จิตใจคนมีเหตุผลสานถึงซึ่งกันและกัน ถ้าแต่ละคนหยั่งรู้ความจริงจากใจตนเองได้ ย่อมสามารถรู้ความจริงจากใจผู้อื่นได้เอง ไม่ว่าการรวมกลุ่มจะอยู่บนพื้นฐานสามีภรรยา หรืออยู่บนพื้นฐานการทำงานร่วมกันในรูปแบบใดก็ตาม
ทุกวันนี้ ความไม่เข้าใจระหว่างกันและกันซึ่งเกิดขึ้นไม่เพียงในครอบครัวที่มีสามีภรรยาเท่านั้น หากสนใจค้นหาความจริงจากการรวมกลุ่มกันทำงาน ไม่ว่ากิจการใดก็ตาม แม้ในแวดวงการจัดการศึกษาอันควรถือว่าเป็นที่พึ่งของสังคม เราจะพบว่าความรู้สึกจริงใจต่อกันกำลังสูญหายไป เปลี่ยนมาอยู่ในสภาพตัวใครตัวมันชัดเจนยิ่งขึ้น ดังที่สามารถอ่านได้จากรูปแบบความคิด ซึ่งมองทุกสิ่งแบบแยกส่วน
จิตใจคนเป็นต้นเหตุสำคัญที่สุดของทุกสิ่งทุกอย่าง หากภายในรากฐานจิตใจมีความรู้สึกเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ว่าการปฏิบัติจากสิ่งซึ่งพบได้ภายนอกจะมีระบบการจัดการ เปลี่ยนแปลงไปสู่รายละเอียดเพิ่มมากขึ้นแค่ไหน ผลกระทบที่สะท้อนกลับมาถึงแต่ละคน น่าจะช่วยให้รากฐานตนเองมีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น
จากความจริงที่ชี้ไว้อย่างชัดเจนว่า หากมีสิ่งนั้น ย่อมมีสิ่งนี้ ดังนั้นหากด้านหนึ่งมีรากฐานจิตใจเข้มแข็ง ช่วยให้มั่นคงอยู่ได้ ย่อมมีผลทำให้มองเห็นความอ่อนแอจากอีกด้านหนึ่งได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
เกียรติศักดิ์ รักของข้า มองไว้แก่ตัว วรรคสุดท้ายของโคลงบทนี้ น่าจะสะท้อนให้เข้าใจบทสรุปอันเป็นธรรมชาติของมนุษย์และสังคมได้อย่างชัดเจนที่สุด
ช่วงที่ผ่านมา มักปรารภกันว่า การจัดการศึกษามีบทบาทสำคัญในการรับใช้สังคม หากมีปัญหาเกิดขึ้นควรมุ่งแก้ไขที่การจัดการศึกษาก่อนเรื่องอื่น
ทั้งนี้และทั้งนั้น การคิดใช้ระบบการจัดการศึกษาเพื่อแก้ไขปัญหาให้ได้ผล ก่อนอื่น แต่ละคนควรเข้าใจความหมายของการศึกษาได้อย่างถึงรากฐาน
แท้จริงแล้ว การปฏิบัติจากใจทุกคนไม่ว่าใครจะทำอะไรอยู่ที่ไหน ย่อมถือได้ว่าคือส่วนหนึ่งซึ่งอยู่ในระบบการจัดการศึกษาทั้งนั้น การคิดได้แต่เพียงว่า การจัดการศึกษาอยู่ในสถาบันการศึกษา ย่อมสะท้อนให้เห็นความจริงว่า มองความหมายของการจัดการศึกษาจากการรากฐานที่คับแคบ ซึ่งกรณีดังกล่าว จะเป็นความจริงได้ วิถีชีวิตของแต่ละคนควรมองเห็นความสำคัญรวมถึงปัญหาที่อยู่ในรากฐานจิตใจตนเองได้อย่างลึกซึ้ง
ตราบใดที่คนส่วนใหญ่ มองความสำคัญของการศึกษาโดยมุ่งทิศทางออกจากตัวเอง ดังสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ย่อมสะท้อนให้เห็นความจริงชัดเจนยิ่งขึ้นว่า ไม่เพียงมองออกจากตนเองเท่านั้น แต่ยังมุ่งสูงจากพื้นดินขึ้นไปสู่ด้านบนรุนแรงยิ่งขึ้น
ดังจะพบได้ว่า มีการเบียดเสียดเยียดยัดแย่งชิงกันเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งไม่เพียงเท่านั้น หลังจากผ่านหลักสูตรปริญญาตรีแล้วยังคิดตะเกียกตะกาย รวมทั้งมีการผลักดันจากผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ร่วมกับด้านหน้าที่มีการนำเอาสิ่งต่างๆ มาล่อใจ ดูดให้คนขึ้นไปสู่ปริญญาโท ปริญญาเอกผลอันเป็นบันไดที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ ทำให้คนยึดติดปริญญาสูงๆ ยิ่งกว่าการทำงานเพื่อรู้คุณค่าชีวิตตัวเอง หากกลับต่อยอดขึ้นไปถึงขั้นการทำงานโดยมุ่งไปสู่เครื่องประดับซึ่งทำให้ตนมีตำแหน่ง อำนาจและความร่ำรวยตลอดจนถึงความมีหน้ามีตา เพิ่มมากยิ่งขึ้นอย่างหยุดได้ยาก
หากบุคคลใดสามารถมองย้อนกลับมายังอีกด้านหนึ่ง ย่อมพบความจริงได้เองว่า ผู้ซึ่งตกเข้าไปอยู่ในกระแสดังกล่าวแล้ว ย่อมมีรากฐานจิตใจที่ขาดการพึ่งตนเองซึ่งสะท้อนให้เห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
วิถีทางดังกล่าวช่วยให้พบความจริงว่า ส่วนใหญ่หลังจากได้รับสิ่งที่ต้องการตามปรารถนาแล้ว มักมีการแสดงความยินดีกันอย่างออกนอกหน้า ซึ่งเท่ากับสร้างกระแสให้เกิดการลืมตัวเพิ่มมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกับชนรุ่นหลัง ซึ่งส่วนใหญ่ยังมีรากฐานอ่อนแออยู่มาก
เกียรติศักดิ์อันเป็นที่รักของชีวิตคนทุกคน ควรจะได้แก่การรักษาสัจจะซึ่งมีอยู่ในรากฐานจิตใจตนเองมาโดยกำเนิด ให้มั่นคงอยู่ได้ อีกทั้งมุ่งมั่นทำงาน ช่วยให้รากฐานดังกล่าวมีโอกาสหยั่งลงสู่จิตใจตนเอง ลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด คือความหมายของ คุณค่าชีวิต ซึ่งทุกคนควรหยั่งรู้ได้เองอย่างอิสระ
สภาพการจัดการศึกษาทุกวันนี้ มีผลนำเอาวิญญาณความรักสัจจะอันควรมีอยู่ในรากฐานจิตใจแต่ละคนมาทำลายให้เหลือน้อยลงไปเรื่อยๆ หากใครยังสนใจที่จะเข้าไปอยู่ในวิถีทางดังกล่าว ส่วนใหญ่คงหาใช่เข้าไปเพื่อหวังฝึกความเข้มแข็งไม่ หากเข้าไปเพราะยอมให้มันกลืนกินเป็นอาหาร ทำให้จำต้องสูญเสีย
หากตั้งความหวังไว้ว่า การศึกษาน่าจะนำสังคมให้ก้าวรอดพ้นไปได้อย่างปลอดภัยแล้ว ผู้ที่สามารถมองเห็นมุมกลับ ย่อมพบความจริงได้ว่า ปัจจุบันนี้การจัดการศึกษากำลังนำคนไปสู่ความหายนะ ทำให้สังคมจำต้องพบกับความหายนะร่วมด้วย
จึงขอฝากเรื่องนี้ไว้ให้ผู้ที่ยังมีวิญญาณความเป็นคนหลงเหลืออยู่บ้าง พึงนำมาคิดพิจารณาค้นหาความจริงจากใจตนเองต่อไปด้วย

2 ความคิดเห็น:

  1. https://th.m.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD

    ตอบลบ
  2. https://th.m.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD

    ตอบลบ